พระโสณโกฬิวิสเถระ เป็นหนึ่งในพระเอตทัคคะที่ผมประทับใจมากครับ ท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเอตทัคคะในทาง”ผู้ปรารภความเพียร”
ลองมาอ่านประวัติท่านแบบย่อๆกันดูนะครับ
………………………………………………………………………
ก่อนจะเข้าประวัติท่าน เพื่อให้ได้อรรถรส ผมขอเล่าเรื่อง “เนสัชชิก” ก่อน โดย เนสัชชิกนั้นเป็น 1 ในธุดงค์วัตร 13 ข้อครับ
ธุดงค์ ไม่ได้แปลว่าเดินนะ แต่แปลว่า หลักปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส ส่งเสริมความสันโดษ มักน้อย นั่นเอง ธุดงค์นี้ไม่ได้เป็นข้อบังคับ พระสามารถเลือกปฏิบัติได้ในข้อที่ตนเองสนใจครับ
ส่วนเนสัชชิก เรียกเต็มๆว่า เนสัชชิกังคะ คือการอยู่แต่อิริยาบท นั่ง ยืน เดิน อย่างเดียวไม่มีอิริยาบท นอน!
………………………………………………………………………
อดีตชาติ
สมัยพระพุทธเจ้าอโนมัสสี … ท่านเป็นเศรษฐี ได้ให้คนตกแต่งที่เดินจงกรมของพระพุทธเจ้าด้วยปูนขาว โรยดอกไม้ ทั้งยังสร้างศาลายาว มอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย และ ในชาตินี้เอง เป็นชาติแรกที่ท่านได้รับการทำนายว่าต่อไปจะได้เป็น เอตทัคคะด้านความเพียร
สมัยพระพุทธเจ้าวิปัสสี ... ท่านได้ฉาบทาปูนขาวสถานที่จงกรมของพระพุทธเจ้า และยังได้สร้างถ้ำ(วิหาร) ถวายพระภิกษุ และ บริจาคผ้าหลายผืนปูลาดพื้นถ้ำ
สมัยพระปัจเจกพุทธเจ้า (ช่วงเวลาระหว่างพระพุทธเจ้ากัสสปะกับพระพุทธเจ้าโคดม) …. ท่านได้ สร้างศาลาที่พัก ที่จงกรม ถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมทั้งเอาผ้ากัมพลแดงมูลค่าพันหนึ่ง ปูพื้น … ท่านได้เห็นรัศมีกายของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเกิดเลื่อมใส เลยอธิษฐานข้อให้มือเท้าท้านมีสีดังดอกหงอนไก่ และ สัมผัสที่กระทบกายของให้เป็นดั่งสัมผัสผ้าผ้ายละเอียด
ชาติสุดท้าย เกิดเป็นบุตรเศรษฐี
ท่านได้เกิดเป็นลูกเศรษฐี มีนามว่า “โสณะ” (โสณกุมาร) ในเมืองกาลจัมปากะ ซึ่งเป็นเมืองในอาณัติของแคว้นมคธ ท่านได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีประนึ่งเทพกุมาร เมื่อเติบใหญ่บิดาได้สร้างปราสาท 3 ฤดูให้อาศัย
ลักษณะพิเศษ มีขนละเอียดอ่อนงอกยาวที่ฝ่าเท้า
มือเท้าของท่านมีสีดุจดั่งดอกหงอนไก่ และ ที่ฝ่าเท้าท่านก็มีขนอันละเอียดยาวประมาณ 4 นิ้วงอกยาวออกมา ซึ่งลักษณะพิเศษนี้ ทำให้เวลาท่านเดิน ท่านจะรู้สึกสัมผัสอันอ่อนนุ่ม เหมือนกับเดินบนพื้นที่ปูด้วยผ้าชั้นดี ตลอดเวลา!
ลักษณะพิเศษนี้เป็นที่เลื่องลือ จนกระทั่ง พระเจ้าพิมพิสาร เรียกตัวไปเข้าเฝ้าเพื่อทอดพระเนตร
พบพระพุทธเจ้า
เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร ให้ทอดพระเนตรฝ่าเท้าแล้ว พระเจ้าพิมพิสารได้พาประชาชนทั้งหมดที่มาประชุมกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ายอดภูเขาคิชฌกูฏ
ขณะนั้น พระสาคตะ เป็นพระพุทธอุปัฏฐาก เมื่อท่านได้เห็นพระเจ้าพิมพิสารพาประชาชนมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ได้แสดงฤทธิ์ดำดิน ไปโผล่หน้าพระคันธกุฎีบนยอดภูเขาคิชฌกูฏนั้น คนทั้งหลายพากันเกิดศรัทธา คิดว่า “พระพุทธสาวก ยังมีความสามารถึงเพียงนี้ พระบรมศาสดาจะต้องมีความสามารถมากกว่านี้อย่างแน่นอน”
ท่านได้ฟังธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสอย่างสูง จึงได้ออกบวช หลังจากบวชไม่นาน ท่านก็แยกตัวออกไปพักอยู่ที่ป่าสีตวันซึ่งเป็นป่าช้า
ปฏิบัติธรรม ตั้งใจจะ ยืนและจงกรม จนกว่าจะบรรลุธรรม (ไม่นั่งไม่นอน!)
หลังจากท่านอยู่ป่าช้าแล้ว ท่านตั้งใจอธิษฐานว่า จะยืนและจงกรมจนกว่าจะบรรลุธรรม (หมายเหตุ: จำเนสัชชิกได้มั้ยครับ เนสัชชิกนั้นไม่เอาอิริยาบทนอน แต่ท่านโสณะตั้งใจจะไม่เอาทั้ง นั่งและนอนเลย จนกว่าจะบรรลุธรรม!)
ท่านเดินจงกรมจนเท้าแตก เมื่อเดินด้วยเท้าไม่ได้ท่านก็จงกรมด้วยเข่า จนเข่าแตก ท่านก็จงกรมด้วยมือ จนมือแตก เลือดไหลอาบไปทั่ว
ทางจงกรมของท่านนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด เลือดนั้นแดงดุจดั่งโรงฆ่าวัว!
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านก็ยังไม่บรรลุธรรม ท่านเกิดท้อใจอยากจะสึก
พระพุทธเจ้ามาสอน อุปมาด้วยพิณ 3 สาย
พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของท่านพระโสณะ จึงมายังสถานจงกรมแล้วถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย สถานที่เดินจงกรมแห่งนี้เป็นของใคร มีเลือดเปื้อนเหมือนโรงฆ่าโค?”
ภิกษุตอบว่า “ท่านพระโสณะปรารภความเพียรเกินขนาด เดินจงกรมจนเท้าทั้งสองแตก จึงมีเลือดเปรอะเปื้อนที่จงกรม พระพุทธเจ้าข้า”
จากนั้นพระพุทธเจ้าได้สอนพระโสณะ โดยเปรียบเปรยมีใจความว่า “สายพิณที่ไม่ตึงนัก ไม่หย่อนนัก ตั้งอยู่ในความพอดี คราวนั้นพิณจะมีเสียงไพเราะ” และ ทรงได้สอนว่า
“ดูก่อนโสณะ เหมือนกันนั่นแล ความเพียรที่ปรารภมากเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่ย่อหย่อนนัก ก็เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้นแล เธอจงตั้งความเพียรแต่พอดี เธอจงรู้ความที่อินทรีย์ทั้งหลาย (5 อย่างคือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา) เสมอกัน และ จงถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น”
จากนั้นมา พระโสณะท่านก็ตั้งความเพียรแต่พอเหมาะ และก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
ถึงความเป็นเอตทัคคะ
สมัยหนึ่งต่อมา พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ในวิหารเชตวัน ท่านได้ตรัสยกย่องว่า
“ภิกษุทั้งหลาย พระโสณโกฬิวิสะเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้ปรารถความเพียร”
อรรถกถาได้อธิบายเพิ่มเติ่มว่า ความเพียรของภิกษุอื่นมีแต่จะต้องทำให้มีขึ้น เจริญขึ้น แต่ความเพียรของพระโสณะนี้กลับต้องทำให้เพลาลง
เพราะพระโสณะ พระพุทธเจ้าจึงอนุญาตให้พระใช้ร้องเท้าได้
หลังจากบรรลุอรหันต์แล้ว พระโสณะได้ไปยังสำนักที่พักของพระพุทธเจ้า ท่านได้แสดงธรรมะ (ขอไม่เล่านะครับ ยาวมาก) หลังจากท่านแสดงจบแล้วพระพุทธเจ้าได้กล่าวรับรอง พร้อมทั้งตรัสอนุญาตว่า
“ดูก่อนโสณะ เธอเป็นสุขุมาลชาติ เราอนุญาตรองเท้าชั้นเดียวแก่เธอ”
พระโสณะได้กราบทูลตอบเป็นใจความว่า “ข้าพระองค์ได้สละสมบัติมากมายออกบวช แต่คนอาจจะมานินทาว่า ข้าพระองค์ยังติดข้องอยู่กับรองเท้า ถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาต ขอให้ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายได้ใช้ด้วย ถ้าไม่ทรงอนุญาต ข้าพระองค์ก็จะไม่ใช้”
พระพุทธเจ้าจึงได้มีอนุญาต ออกมาเป็นพระวินัยว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรองเท้าชั้นเดียว ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้า 2 ชั้น ไม่พึงสวมรองเท้า 3 ชั้น ไม่พึงสวมรองเท้าหลายชั้น รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ”
………………………………………………………………………
อ้างอิงครับ: หนังสือ 80 พระอรหันต์ฉบับสมบูรณ์ (สนพ ธรรมสภา) และ http://84000.org/one/1/30.html