******************************************
ผมบังเอิญทราบว่า มีบางท่านได้เอาบทความนี้ของผมไปอ้างอิงใน wiki
ท่านใดที่เข้ามาอ่านก็ขอรบกวนไปข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นด้วยนะครับ (กระผมเป็นเพียงผู้สนใจธรรมะ หาใช่ผู้รู้แต่อย่างใดครับ 😀 )
******************************************
ช่วงนี้ผมสนใจเรื่อง “ปาราชิก” ครับ คือเรามักจะได้ยินตามข่าวต่างๆอยู่บ่อย แต่ผมก้ไม่ค่อยรู้เลยว่าจริงๆแล้ว ปาราชิกนั้นคือะไร มีรายละเอียดยังไงบ้าง
พอดีมีเวลาเลยลองค้นๆดู ก็ไ้ด้ความรู้มาเยอะเลยครับ แต่ว่า ตามเวปต่างๆส่วนใหญ่จะเขียนเป็นคำอ่านยากๆ เลยคิดว่าจะลองสรุปดู
******************************************
ปาราชิกคืออะไร
ปาราชิกเหมือนกับโทษประหารของพระครับ พระใดทำผิดกฏแล้วต้องสึกทันที แล้วก็กลับมาบวชใหม่อีกไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือนกับหินที่แตกแล้วไม่สามารถต่อได้อีก
ปาราชิก แปลว่า “ผู้แพ้” ครับ มีรากศัพท์มากจากคำเดียวกับคำว่า “ปราชัย”
******************************************
ปาราชิกมีอะไรบ้าง
ปาราชิกมีอยู่ 4 ข้อครับ …. ลองอ่านข้างล่างนี้ดู เป็นสำนวนตามพระไตรปิฏกฉบับแปลไทย อ่านยากหน่อยนะครับ
สิกขาบทที่ ๑ ภิกษุใด ถึงพร้อมซึ่งสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลาย แล้วไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
สิกขาบทที่ ๒ ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ เป็นส่วนแห่งโจรกรรม จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
สิกขาบทที่ ๓ ภิกษุใด จงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศัสตราอันจะปลิดชีวิต ให้แก่กายมนุษย์นั้น หรือพรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนเพื่ออันตาย โดยหลายนัย แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
สิกขาบทที่ ๔ ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ [คือไม่รู้จริง] กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตน อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม [คือเชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม ถูกซักถามก็ตาม ไม่ถูกซักถามก็ตาม] เป็นอันต้องอาบัติแล้ว แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ
******************************************
อธิบายปาราชิกข้อที่1
ปาราชิกข้อที่1 หลักใจความคือ “พระห้ามร่วมเพศ” พระใดร่วมเพศ พระนั้นถือว่าต้องปาราชิก
พระไตรปิฏกเนี่ย เขียนไว้ละเอียดมากๆเลยนะครับว่า ห้ามร่วมเพศทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นร่วมเพศกับ คน อมุษย์ หรือ สัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดๆด้วย รวมถึงกระเทย
แถมการร่วมเพศนี้ ได้ระบุไว้ัชัดเจนอีกว่าไม่ว่าจะเป็นทาง อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือ ปาก เพียงแค่อวัยวะเพศสอดเข้าไปแค่เท่าเมล็ดงาก็ถือว่า ร่วมเพศแล้ว
ทีนี้ก็มีข้อปลีกย่อยครับ คือ
- ถ้าหลวงพี่คิดจะร่วมเพศ แต่พอแค่โดนตัว แล้ว ไหวตัวทัน เลิกก่อน อันนี้หลวงพี่ผิดข้ออาบัติย่อย (อาบัติทุกกฏ) ไม่ถึงกับปาราชิก
- ถ้าล่วงพี่ไม่ได้ร่วมเพศในช่องทางทั้ง 3 แต่ว่าเล่นกันแต่ภายนอก อันนี้หลวงพี่ ผิดข้ออาบัติอย่างกลาง (สังฆาทิเสส)
- ถ้าหลวงพี่โดนลวนลาม โดนข่มขืน หรืออะไรก็ที่ได้เกิดการร่วมเพศขึ้น ถ้าหลวงพี่ไม่ยินดีเลย หลวงพี่ไม่ผิด แต่ถ้าหลวงพี่ิยินดีนิดเดียว ก็จะปาราชิกทันที
- ถ้าหลวงพี่โดนลักหลับ พระวินัยได้อธิบายเหมือนกันครับว่าคือ ถ้าตื่นมาแล้วยินดี ก็ ผิด ตื่นมาแล้วไม่ยินดี ก็ ไม่ผิด
- ถ้าหลวงพี่เป็นพระอรหันต์ แล้ว เกิดการร่วมเพศขึ้นโดยหลวงพี่ไม่เจตนาเลย อันนี้ไม่ผิด
จริงๆแล้วมีข้อย่อยลงไปอีกเยอะมากครับ แต่หลักการคือ หลวงพี่ยินดีด้วยหรือไม่ ถ้ายินดีก็ผิดครับ แต่ที่ผมเอามาลงแค่หลักๆ พอให้ได้ใจความ
อาบัติย่อยๆที่ใกล้เคียง
นอกจากปาราชิกอันเป็นอาบัติหนักแล้ว เรื่องเกี่ยวกับทางเพศยังมีบัญญัิติไว้ใน สังฆาทิเสสด้วย (ความผิดแบบกลางๆ) คือ ภิกษุใดทำสิ่งเหล่านี้จะถือว่าผิดสังฆาทิเสส
- จงใจทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน
- มีจิตกำหนัดแล้วจับต้องร่างกายสตรี
- มีจิตกำหนัดแล้วพูดกับสตรีพาดพิงเมถุนธรรม
- มีจิตกำหนัดแล้วพูดกับสตรีให้บำเรอตนด้วยกาม (พูดหลอกล่อให้ผู้หญิงมาทำให้)
******************************************
อธิบายปาราชิกข้อที่2
ปาราชิกข้อที่2 หลักใจความคือ “พระห้ามลักทรัพย์”
พระไตรปิฏกก็กล่าวระบุไว้ละเอียดมากๆเหมือนกันอีกครับ ว่า ห้ามขโมยทั้งในบ้าน และ ในป่า โดยนิยามว่า ป่าคือที่ที่ไม่ใช่บ้าน … แปลง่ายๆว่า ห้ามขโมยทุกที่ในโลก ^ ^
และยังได้ระบุละเอียดลงไปชัดเลยครับว่า ถ้ามีใจคิดขโมย เอื้อมมีไปจับของชิ้นแล้วแล้ว จนของเคลื่อนออกจากที่ ก็ถือว่าปาราชิกทันที!!!
แต่ทั้งหมดก็อยุ่ที่เจตนาเป็นหลัก ว่าจิตคิดจะขโมยมั้ย ซึ่งพระวินัยก็ได้มีข้อยกเว้นไว้ให้คือ จะไม่ถือเป็นปาราชิกถ้า
- พระนั้น เข้าใจผิดคิดว่าเป็นของตน
- ไปหยิบเอามาใช้ด้วยคุ้นเคย(วิสาสะ)กับเจ้าของ
- เป็นการขอยืม
อันนี้เป็นข้อยกเว้นหลักๆนะครับ ผมไม่เอาลงมาหมด เดี๋ยวจะยาวไป
******************************************
อธิบายปาราชิกข้อที่3
ปาราชิกข้อที่3 หลักใจความคือ “พระห้ามฆ่าคน”
ข้อนี้ฟังดูง่าย และ ตรงไปตรงมาดีใช่มั้ยครับ แต่ว่า จริงๆแล้วพระไตรปิฏกได้ระบุรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีกคือ
- ห้ามพระพรรณาคุณหรือชักชวนให้ตาย (ข้อนี้รวมทั้ง การพูด การใช้ท่าทาง การเขียน และ ทุกๆอย่างครับ)
- ห้ามช่วยหาอาวุธมาฆ่าคน
- ไม่ฆ่าเองแต่สั่งการก็ถือว่าผิด
- รับคำสั่งมาแล้วทำตามก็ผิด
คำว่าคนนี้ พระวินัยได้ระบุชัดเจนมากครับ ว่า รวมไปถึงตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์ นั่นคือ ถ้าพระมีส่วนในการทำแท้ง พระก็ผิดปาราชิก
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เหมือนกันกับข้ออื่นครับ คือ ถ้าพระไม่มีเจตนา ก็ไม่ผิด
ข้อนี้จะสามารถโยงได้ไปถึงอาบัติอื่นๆคือฆ่าสัตว์ครับ โดยพระวินัยระบุไว้ว่า “ถ้าพระจงใจฆ่าสัตว์ถือเป็นอาบัติปาจิตตีย์ (อาบัติย่อยแบบหนึ่ง)” เว้นแต่ว่าไม่มีเจตนา
ที่มาของรูป http://www.justsaypictures.com/murder-05.html
******************************************
อธิบายปาราชิกข้อที่4
ปาราชิกข้อที่4 หลักใจความคือ “พระห้ามอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน”
อวดคุณวิเศษเนี่ย เค้าเรียกว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ครับ โดยที่ อตุตริมนุสสธรรมเนี่ย คือ
- ฌาน – ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
- วิโมกข์ – สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์
- สมาธิ – สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิตสมาธิ
- สมาบัติ – สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ
- ญาณ – วิชชา ๓
- มัคคภาวนา – สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘
- การทำให้แจ้งซึ่งผล ได้แก่การทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล การทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล การทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล การทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล
- การละกิเลส – การละราคะ การละโทสะ การละโมหะ
- ความเปิดจิต – ความเปิดจิตจากราคะ ความเปิดจิตจากโทสะ ความเปิดจิตจากโมหะ
- ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า – ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า ด้วยปฐมฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยทุติยฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า ด้วยตติยฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยจตุตถฌาน
รายละเอียดของแต่ละข้อ ถ้าสงสัยก็ลองไปค้นดูเองนะครับ ^ ^ เล่าแล้วเดี๋ยวยาว แถมบางอันผมก็ไม่รุ้เหมือนกันว่าคืออะไร
ทีนี้ถ้าพระเข้าใจผิด คิดว่า ตัวเองได้คุณวิเศษนั้นๆ พระไม่ผิดครับ
นอกจากนี้ยังมีอาบัติข้อๆอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้ครับคือ
- ถ้าพระอวดคุณวิเศษ ที่“มี”ในตน ให้“พระ”ด้วยกันฟัง พระไม่อาบัติ
- ถ้าพระอวดคุณวิเศษ ที่“มี”ในตน ให้“ชาวบ้าน”ฟัง พระอาบัติข้อย่อยๆ
******************************************
จบแล้วครับ ผมเล่าแต่หลักๆ ไม่ได้เล่าทั้งหมดไม่งั้นมันจะกลายเป็นบทความสำหรับพระไป ส่วนบทความนี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับ
จริงๆแล้วถ้าสังเกตุให้ดีปาราชิกทุกข้อ ก็จะดูที่เจตนาเป็นหลักครับ ว่ามีเจตนาจะทำมั้ย
ใครอยากอ่านแบบละเอีียดๆ ก็เข้าไปอ่านได้ในเวปนี้ครับ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=0&Z=164&pagebreak=0
ที่มาของรูปครับ http://bookstore.tu.ac.th/bookpresen/pnewbooks.html
เก๋
May 25, 2011 at 22:16
พระพุทธเจ้าท่านรอบคอบจริงๆ ครับ แค่เรื่องปราชิกข้อแรกนี่ละเอียดคลอบคลุมแบบไม่ต้องมีเรื่องให้สงสัยเลย (อ่านดูพบว่าวิธีเดียวที่พระจะเสพเมถุนกับผู้อื่นโดยเจตนาโดยไม่ปราชิก คือ เสพกับศพผู้ตายแล้วและถูกสัตว์กัดโดยมาก ^^”)
อนุโมทนาครับ
Trang Suwannasilp
May 25, 2011 at 22:48
ใช่เลยครับ พระพุทธเจ้าท่านรอบคอบมากๆ และ ที่สำคัญคือ พอลองได้อ่านพระวินัยแบบละเอียดๆแล้ว ท่านไม่ได้ยึดติดกันศีลหรือการกระทำเลยครับ ท่านดูที่เจตนา และ ท่านก็ยุติธรรมกับทุกๆคนมากๆด้วย
ข้อดีอีกอย่างของการไปนั่งอ่านพระวินัยของสงฆ์ที่ คือ ทำให้เราเข้าใจศีลได้ดีขึ้นครับ มุมมองต่อศีลเนี่ย ชัดเจนขึ้นมาก อันนี้ผมไม่คิดว่าจะได้เลย ตอนแรกกะว่าจะอ่านเอาสนุกเฉยๆ ^ ^
Trang Suwannasilp
May 25, 2011 at 22:50
อย่างเช่นที่ว่า พระฉันอาหารที่มีเหล้าผสมอยู่ พระไม่ถือว่าอาบัติ … อันนี้ผมอ่านแล้วกระจ่างเลยครับ เพราะว่า บางทีผมก็กังวลว่า อาหารที่กินจะมีเหล้ามั้ย
มีเรื่องแบบนี้อีกเยอะเลยครับ ผมชอบมาก …. ช่วยให้เราใช้ชีวิตไ้ด้เคลียร์ขึ้น
PhaAkkaratape
December 12, 2012 at 10:47
มีประโยชน์อย่างมากๆๆเลยครับ ขอบคุณจากใจจริงเลยครับ เพราะปกติถ้าอ่านแบบทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าใจเพราะเป็นภาษาที่อ่านยาก
Anonymous
July 19, 2013 at 10:19
สาธุ…..
มีนา สุริยเสรี
September 25, 2015 at 08:03
สาธุค่ะ
BOUATONG TUI
January 3, 2020 at 11:26
ในสิกขาบทพระปาติโมกข์ ปาราชิก 4 เป็นเรื่องไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งในพระภิกษุสงฆ์ วินัยข้อนี้เป็นสิ่งที่
ค่อนข้างรุนแรงที่สุดในวินัยหลายข้อ พระภิกษุสงฆ์
และสามมเณรแม่ชีก็ไม่ควรจะกระทำเรื่องอย่างนี้ให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงตัวเองเป็นอย่างยิ่ง