RSS

Tag Archives: พุทธประวัติ

พระอัญญาโกณฑัญญะ หายไปไหนหลังจากบรรลุอรหันต์?

เราทุกคนต่างรู้จักพระอัญญาโกณฑัญญะ โดยทราบว่าท่านเป็นภิกษุรูปแรก และ ผู้แรกที่บรรลุธรรม แต่ว่าเราไม่ค่อยทราบกันเลยว่าท่านหายไปไหนหลังจากบรรลุอรหันต์แล้ว

เราลองมาอ่านประวัติของท่านกันครับ

***************************************

อดีตชาติ

ในอดีตกาลสมัยพระพุทธเจ้านาม “ปทุมุตตระ” พระอัญญาโกณฑัญญะได้เกิดเป็นบุตรชายเศรษฐี  วันหนึ่งท่านได้เห็นพระพุทธเจ้าสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งว่า เป็นเลิศด้าน “บรรลุธรรมก่อนใครๆในพระศาสนา”

ท่านคิดว่า “ภิกษุนี้ยิ่งใหญ่มาก เพราะถ้าไม่นับพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครจะบรรลุธรรมก่อนภิกษุนี้เลย ถ้าตัวเราจะสามารถบรรลุธรรมก่อนใครๆ ในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ใดในอนาคตก็จะเป็นการดีหนอ” เขาคิดได้แล้วจึงกราบทูลพระพุทธเจ้าขอถวายทาน ๗ วันติดต่อกัน และ เอ่ยวาจาตั้งความปรารถนาว่าจะเป็น ภิกษุผู้บรรลุธรรมก่อนใครๆในอนาคต

พระพุทธเจ้าปทุมุตตระได้สดับแล้ว ตรัสว่า ความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงในอนาคตกาล ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า “โคตมะ”

***************************************

ชาติสุดท้าย

ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ประจำศากยวงศ์ นามว่า “โกณฑัญญะ” ท่านได้รับเลือกเป็นพราหมณ์ทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ทายว่าต่อไปเจ้าชายจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

จากนั้นท่านก็ได้ลาออกจากราชสำนักและไปบวชเป็นฤาษี ต่อมาเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ออกบวช ท่านก็ได้ออกบวชตามพร้อมพวกอีก ๔ คน (เรียกว่า ปัญจวัคคีย์ – พวก๕) คอยติดตามปรนนิบัติพระโพธิสัตว์ แต่ภายหลังก็ได้ทิ้งไปเพราะคิดว่าพระองค์ละความเพียรแล้ว จนพระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ได้กลับมาเทศน์สอนปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรก และ พระโกณฑัญญะนี้เองก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นบุคคลแรกที่มีดวงตาเห็นธรรม

ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “อญฺญา สิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ โกณฑัญญะรู้ทั่วแล้วหนอ” ซึ่งทำให้ท่านได้รับชื่อนำหน้าว่า “อัญญา (รู้)” ตั้งแต่นั้นมา

***************************************

ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะ และ มีที่นั่งพิเศษ 

ต่อมาขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ท่านได้ยกย่องพระอัญญาโกณฑัญญะว่า “เป็นเลิศ (เอตทัคคะ) ด้านผู้รู้ราตรีนาน (รัตตัญญู)” คือ เป็นเลิศกว่าผู้อื่นด้านบรรลุธรรมก่อนใครๆ

เนื่องจากท่านบวชเป็นคนแรกท่านจึงมีพรรษาสูงที่สุด ภิกษุทุกรูปจึงต้องทำความเคารพ ที่นั่งของท่านนั้นก็พิเศษว่าภิกษุอื่น คือได้นั่งใกล้พระพุทธเจ้า โดยที่เวลาพระพุทธประทับ พระอัครสาวกจะนั่งเบื้องซ้าย-ขวา และ ข้างหลังอัครสาวกจะเป็นที่นั่งพิเศษเฉพาะของท่าน

***************************************

ทูลลาพระพุทธเจ้าไปอยู่ป่า

ท่านอัญญาโกณฑัญญะมีความเห็นว่า การที่ท่านมีพรรษาสูงสุดนั้นได้สร้างความลำบากให้กับหมู่คณะ คือ ทุกๆคนต้องทำความเคารพท่าน ไม่เว้นแม้แต่อัครสาวก อีกทั้งท่านมีความยินดีในความวิเวก ไม่ปรารถนาอยู่ใกล้บ้านผู้คน ท่านจึงได้กราบทูลลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษายัง “ริมสระมันทากินี”

ท่านได้อยู่ที่ริมสระมันทากินีนี้ถึง ๑๒ ปี  ในป่านี้เป็นที่อยู่ของช้างตระกูล”ฉัททันต์” ๘,๐๐๐ เชือก ในกาลก่อนช้างฝูงนี้เคยปรนนิบัติพระปัจเจกพุทธเจ้า ทำให้ช้างนี้มีความสามารถในการดูแลพระสงฆ์

เมื่อช้างเห็นพระอัญญาโกณฑัญญะเดินทางมา ก็ดีใจที่จะได้ปรนนิบัติพระอีกครั้ง จึงพากันปัดกวาดเช็ดถูที่พัก ทำความสะอาดทางเดินจงกรม เสร็จแล้วพวกช้างก็ประชุมแบ่งเวรความรับผิดชอบ จัดลำดับว่าใครจะต้องเตรียมน้ำบ้วนปากและไม้สีฟัน เป็นต้น

สระนี้กว้าง ๕๐ โยชน์ น้ำใสเหมือนผลึกไม่มีสาหร่ายจอกแหน ในสระนั้นมีดอกบัวขาว ถัดจากบัวขาวเป็นดอกบัวแดง โกมุทแดง โกมุทขาว บัวเขียวเป็นต้น รอบๆสระมีดงข้าวสาลี มีไม้เถาเช่น ฟักทอง น้ำเต้า และ ฟัก นอกจากนั้นยังมีดงอ้อย ดงกล้วย ดงขนุน ป่าชมพู่ และ ดงมะขวิด

กล่าวโดยย่อคือ ผลไม้ที่ชื่อว่ากินไม่ได้นั้น ไม่มี

เวลาดอกไม้บาน ลมจะพัดเอาเกสรไปรวมกับหยาดน้ำบนใบบัว เมื่อตะวันขึ้น หยดน้ำก็จะถูกแสงอาทิตย์เผาจนกลายเป็นก้อนเหมือนน้ำตาลเคี่ยว และช้างก็นำก้อนน้ำตาลนี้มาถวายพระเถระ

แม้แต่รากบัว กับ เหงาบัวนั้น ช้างก็นำมาถวาย ส่วนเมล็ดบัวนั้น ช้างก็ได้ปรุงเมล็ดบัวเข้ากับน้ำตาลถวาย ช้างยังได้นำอ้อยวางบนแผ่นหินแล้วใช้เท้าเหยียบจนน้ำหวานไหลออกมาขังเต็มแอ่ง น้ำอ้อยนี้โดนตากแดดจนแห้งกลายเป็นดั่งนมก้อน ซึ่งนมก้อนนี้ช้างก็นำมาถวาย แม้แต่ผลไม้ต่างๆในป่าเช่น ขนุน กล้วย มะม่วง ช้างก็นำมาถวาย 

***************************************

ทราบว่าสิ้นอายุขัย กลับไปทูลลาพระพุทธเจ้า

เช้าวันหนึ่งท่านได้ตรวจและทราบว่า อายุขัยท่านกำลังจะหมดลงแล้ว ท่านจึงคิดว่า “เราควรนิพพานที่ไหนหนอ … ก็ช้างนี้ได้ดูแลเราถึง ๑๒ ปี เราควรไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อขอนิพพานที่ใกล้ๆช้างนี้”

ว่าแล้วท่านก็เหาะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระวิหารเวฬุวัน ด้วยความที่ท่านไม่ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นเวลานาน ท่านจึงได้หมอบลงแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า เอาศีรษะแนบกับพระบาท จูบพระบาททั้งสองด้วยปาก นวดเฟ้นด้วยมือทั้งสอง พร้อมทั้งประกาศนามว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ชื่อโกณฑัญญะ”

เหตุที่ท่านต้องประกาศนามนั้น เพราะท่านจากไปนาน คนทั้งหลายจำท่านไม่ได้ คนบางจำพวกที่ไม่รู้จัก อาจจะคิดไม่ดีว่าพระแก่นี้เป็นใครกัน ซึ่งจะเป็นบาปแก่คนเหล่านั้น ท่านจึงต้องประกาศนามให้ผู้คนเลื่อมใส จะเป็นเหมือนการปิดทางอบาย และ เปิดทางสุคติให้แก่คนทั้งหลายนั้นเอง

ว่าแล้วท่านก็ทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อายุสังขารของข้าพระองค์สิ้นแล้ว ข้าพระองค์จักนิพพาน”

ตรัสถามว่า “โกณฑัญญะ ท่านจะนิพพานที่ไหน”

กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างทั้งหลายที่เป็นอุปฐากของข้าพระองค์นั้น ได้ทำกิจที่ทำได้ยาก ข้าพระองค์จะนิพพานใกล้ๆช้างเหล่านั้น”

พระศาสดาทรงอนุญาต (ด้วยการนิ่ง ไม่ตรัสอนุญาต หรือ ห้าม) และพระเถระก็ได้ทำประทักษิณและกราบทูลว่า …

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การเห้นครั้งนั้นเป็นการเห็นครั้งแรกของข้าพระองค์ การเห็นครั้งนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย”

ฝูงชนพากันร่ำไห้คร่ำครวญ พระเถระถวายบังคมและได้จากไปยังริมสระน้ำมันทากินี โดยก่อนจาก ท่านได้ให้โอวาทว่า

“ท่านทั้งหลาย อย่าเศร้าโศกเลย อย่าคร่ำครวญเลย จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพุทธสาวก สังขารที่เกิดขึ้นแล้ว ที่จะไม่แตกทำลายนั้นไม่มี”

*************************************** 

หมู่ช้างจัดพิธีศพให้อย่างยิ่งใหญ่ 

เมื่อถึงที่ริมสระ ท่านเข้าไปยังที่พัก นั่งเข้าผลสมาบัติตลอด ๓ ยาม ออกจากสมาบัติในเวลาใกล้สว่าง และ นิพพาน

ช้างที่เฝ้าเวรอยู่ด้านหน้าไม่รู้ว่าท่านได้นิพพานแล้ว แต่ก็ยังคงเตรียมน้ำบ้วนปาก ไม้สีฟัน และ ผลไม้ รออยู่ที่ท้ายทางจงกรม แต่ว่าไม่เห็นพระเถระออกมาจากที่พักจึงเดินเข้าไปดู ช้างเขย่าประตูและมองดูก็เห็นว่าท่านกำลังนั่งอยู่ ช้างลองเอางวงเหยียดออกไปลูบคลำดูก็พบว่าท่านไม่หายใจแล้ว

บัดนั้นเอง ช้างก็เอางวงสอดเข้าไปในปากส่งเสียงร้องเสียใจดังลั่นป่า ช้างอื่นๆทั้ง ๘,๐๐๐ เชือก ต่างก็ส่งเสียงร้องเสียใจพร้อมๆกัน

ช้างทั้งหลาย ได้ยกร่างพระเถระขึ้นไว้บนกระพองของหัวหน้าโขลง ต่างเอางวงถือกิ่งไม้ที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง แห่ร่างของพระเถระไปทั่วทั้งป่าหิมวันต์ และ กลับมาวางยังที่เดิม

ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราช(พระอินทร์) ได้ปรึกษากับวิษณุกรรมเทพบุตร(เทพแห่งการช่าง)ว่า “พ่อ พี่ชายของเรานิพพานแล้ว เราจะกระทำสักการะ เธอจงเนรมิตเรือนยอด” วิษณุกรรมเทพบุตรจึงเนรมิตเรือนยอดอันสวยงาม จัดวางร่างพระเถระให้อยู่ในเรือนยอดนั้น จากนั้นบรรดาช้างก็พากันยกเรือนยอดเวียนรอบป่าอีกครั้ง เหล่าเทวดาก็รับเรือนยอดต่อจากช้าง และค่อยๆส่งต่อไปตามสวรรค์ชั้นต่างๆ จนถึงพรหมโลก และค่อยๆส่งเรือนยอดกลับลงมายังช้างอีกครั้ง

ร่างของพระอัญญาโกณฑัญญะได้รับการทำพิธี จนรุ่งอรุ่ณของวันต่อมาเมื่อไฟได้ดับลงแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จมา ท่านได้เนรมิตเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้นมา และบรรจุพระธาตุของท่านอัญญาโกณฑัญญะไว้ในนั้น

อ้างอิง

  • ม.มู.มหาสัจจกสูตร ข้อ ๔๒๖, องฺ. อ.๑/๑/๒๔๑, เถร.อ.๓/๔๙๑ ๔๙๕-๖, สํ.อ.๑/๒/๓๓๙-๓๔๔
  • อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค วังคีสสังยุต โกณฑัญญสูตรที่ ๙, อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค ๙. อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน (๗)
  • หนังสือ ๘๐ พระอรหันต์ ฉบับสมบูรณ์ โดย ธรรมสภา

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

 
5 Comments

Posted by on February 19, 2012 in ธรรมะ

 

Tags: , , , ,

แก้กรรม ตามหลักพุทธเถรวาท

ช่วงนี้มีข่าวออกมาเยอะมากเรื่องเกี่ยวกับการแก้กรรม ตามเวปต่างๆก็คุยกันไป เนื้อหาที่คุยก็กระจัดกระจายหลากหลาย และ ส่วนมากก็ใช้อารมณ์ซะมากกว่า

จริงๆแล้วผมก็ไม่มีความรู้อะไรแบบนี้เลยครับ แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา ก็เลยลองมาค้นๆดูว่า จริงๆแล้วเนี่ย กรรมมันแก้ได้มั้ย?

**************************************

เรื่องนี้ถ้าเราจะคิดแบบให้เข้าใจง่าย ก็คงต้องแบ่งคำถามเป็นส่วนๆแล้วค่อยๆดูกัน

  1. ตามหลักพุทธเถรวาทแล้ว กรรมเก่ามีจริงมั้ย
  2. กรรมเก่าแก้ได้มั้ย
  3. ถ้าแก้ได้ แก้กรรมเก่าอย่างไรดี

**************************************

ตามหลักพุทธเถรวาทแล้ว กรรมเก่ามีจริงมั้ย

พุทธเถรวาทของเรา มีหลักการและมุมมองที่ชัดเจนเลยครับว่า กรรมเก่ามีจริง โดยท่านสอนไว้ประมาณว่า สิ่งที่ทำไปแล้ว ก็จะให้ผลกลับมา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า

กรรมเก่าแบบสั้นๆคือ ถ้าเราไปต่อยผนัง มือเราก็เจ็บ … มือเจ็บเนี่ยเป็นผลที่เราทำกรรมคือเอามีไปต่อยกำแพง … กรรมเก่าแบบยาวหน่อยคือ สูบบุหรี่ สูบวันนี้ พรุ่งนี้ไม่เป็นไร แต่พอผ่านไปเป็นสิบๆปีก็เป็นมะเร็ง ส่วนกรรมเก่าเป็นยาวๆก็ข้ามภพข้ามชาติกันเลยทีเดียว

พระไตรปิฏกได้เขียนเรื่องกรรมเ่ก่าไว้เยอะเลยครับ ตัวอย่างง่ายๆคือ อดีตชาติของพระพุทธเจ้าท่าน  ว่าท่านได้เคยบำเพ็ญบารมีอะไรมาบ้าง เช่นว่า เป็นพระเวสสันดรเป็นต้น ด้วยบุญบารมีความดีที่ท่านได้ทำมาจนเต็มเปี่ยมแล้ว ทำให้ชาติสุดท้้ายพระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้า

บางคนอาจจะบอกว่า กรรมเก่าเป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่มีจริงหรอก … อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองนะครับ เพียงแต่ว่า ตอนนี้ผมกำลังมองในมุมของศาสพุทธเถรวาท ซึ่งทางศาสนาท่านก็ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า กรรมเก่านั้นมี

**************************************

กรรมเก่าแก้ได้มั้ย

อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันนะ ว่าแก้ได้มั้ย แต่เมื่อลองเข้าไปอ่านในพระไตรปิฏกดูแ้ล้ว เห็นว่า ไม่เคยมีเหตุการ์ณที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงแก้กรรมให้กับตัวท่านเอง หรือ สาวกท่านใดๆเลย

  • พระพุทธเจ้า ท่านโดนกรรมเก่าเล่นงาน โดยถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงทับจนนิ้วห้อเลือด … ทำไมท่านไม่แก้กรรมให้ตัวเอง?
  • พระโมคคัลลนะเคยทุบพ่อแม่จนตายเมื่อหลายชาติก่อน ชาติสุดท้ายนี้ ท่านก็โดยโจรทุบจนร่างแหลกเหลว … ทำไมท่านไม่แก้กรรมให้ตัวเอง?
  • พระนางสามาวดี เมื่อหลายชาติก่อน เคยเผาพระปัจเจกพุทธเจ้า ชาติสุดท้ายเลยโดยไฟครอกตาย … ทำไม พระพุทธเจ้าไม่แก้กรรมให้?
  • ญาติพระพุทธเจ้า เคยทำกรรมร่วมกันมา ทำให้ชาติสุดท้าย โดยฆ่าล้างตระกูล … ทำไมพระพุทธเจ้าไม่แก้กรรมให้?

เราจะเห็นได้ว่า เรื่องแก้กรรมนั้น ไม่มีในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า และ พระสาวกทั้งหลาย ต่างไม่เคยแก้กรรมให้ตัวท่านเองเลย

ที่มาของรูป  http://kttpngart.multiply.com/photos/album/26/26

จริงๆแล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด พระพุทธเจ้าเคยช่วยต่ออายุให้เด็กคนนึงครับ

คือ มีเด็กคนนึงเกิดมา แล้วหมอดูบอกว่า จะอยู่ได้แค่7วัน พ่อแม่เด็กเลยพากันไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทราบว่า มียักษ์ตนนึงจ้องจะมาจับเอาเด็กไป พระพุทธเจ้าท่านเลยให้พระทั้งหลายนั่งล้อมเด็กไว้และสวดมนต์ตลอดเจ็ดวัน ทีนี้ พอพระระดับสำคัญๆมากันหมด เทวดาทั้งหลายก็มากันด้วย ยักษ์ซึ่งเป็นเทพผู้น้อยเลยไม่มีโอกาสทำร้ายเด็ก และทำให้เด็กนั้นรอดตายในที่สุด

พ่อแม่เด็กดีใจที่ลูกไม่ตาย และภายหลักเด็กนั้นได้ออกบวช และ บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

ซึ่งเราจะเห็นว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านช่วยนั่น ท่านเล็งผลพระโยชน์สูงสุดคือ พระอรหันต์

**************************************

ถ้าแก้ได้ แก้กรรมเก่าอย่างไรดี

คือจริงๆแล้ว กรรมเก่าเนี่ยจะแก้ได้หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ใครทำแล้วสบายใจก็ทำไปแล้วกัน แต่รู้สึกว่า เรื่องแบบนี้มันมีเยอะมากในสังคมไทย และ ก็ไม่ค่อยมีคนบอกให้ชาวบ้านต่างๆรู้ว่า จริงๆแล้วควรจะแก้กรรมอย่างไ้รให้ถูกหลักพุทธ

ถ้าใครอยากจะไปแก้กรรม ก็แล้วแต่ความสบายใจเลยครับ เพียงแต่ต้องดูและรู้ตัวด้วยว่า ที่กำลังทำอยู่นั้น สอดคล้องกับหลักของพุทธมั้ย

พระพรหมคุณาภรณ์เคยสอนไว้ครับว่า หลักของศาสนาพุทธเราคือ “หลักของการพัฒนาตน”

  • ถ้าที่เราทำไปนั้นเป็นการพัฒนาตน คือ ทานดีขึ้น ศีลดีขึ้น สติ สมาธิดีขึ้น อันนี้โอเค เข้ากับหลักพุทธ
  • ถ้าไอ้ที่เราทำไปนั้นเป็นการ พึ่งคนอื่น อ้อนวอน หวังผลดลบันดาล กระทำตนเหมือนเดิม อันนี้ก็ไม่ใช่หลักพุทธ

นั่นคือ ถ้าอยากจะไปแก้กรรม แล้วมีคนแนะนำให้ไป ทำบุญ ถือศีล ทำทาน ฝึกเจริญสติ … อันนี้เข้ากับหลักพุทธ ให้ทำตามได้ แต่จะแก้กรรมได้จริงหรือเปล่านี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

แต่ถ้ามีคนแนะนำให้ไปแก้กรรมโดยทำผิดศีลเช่น ฆ่าไก่สังเวย แบบนี้คงไม่ใช่การแก้กรรมในหลักพุทธแล้ว แถมจะได้บาปเพิ่มขึ้นมาอีกเปล่าๆ

ที่มาของรูปครับ http://my.opera.com/vivekdhiman/albums/showpic.dml?album=5873712&picture=90121742

 
4 Comments

Posted by on April 30, 2011 in ธรรมะ

 

Tags: , , , ,

ทำไม ขึ้นพ.ศ.ใหม่พร้อมค.ศ. ?

วันนี้น้องชายผมถามว่า ทำไม พ.ศ. ถือขึ้นปีใหม่พร้อมกับ ค.ศ.  ผมก็ตอบน้องเค้าไป … ผมว่าคำถามนี่น่าสนใจดีนะครับ แล้วก็รู้สึกว่าน่าเอามาเล่าในบล๊อก

ทำไมถึงเปลี่ยน พ.ศ. พร้อม ค.ศ.

แต่เดิมไทยขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน ครับ จนมาถึงสมัยของจอมพลป. ท่านได้มีไอเดียเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ให้เป็นวันที่ 1 มกราคม เพื่อความเป็นสากลของประเทศไทยครับ เพื่อที่เราจะได้เปลี่ยนปีพร้อมกับฝรั่งเค้า

โดยเริ่มเปลี่ยนการนัับครั้งแรกนี้ในปี พ.ศ. 2484 ครับ นั่นก็คือทำให้ปี พ.ศ. 2483 มีเพียง 9 เดือน

วันสงกรานต์คือปีใหม่แบบไทย จริงหรือ?

ถ้าจะว่ากันจริงๆแล้ว วันสงกรานต์คือวันปีใหม่ของแขก(อินเดีย)ครับ แต่ไทยไปรับมาใช้ในภายหลัง ซึ่งการที่เรากำหนดว่าต้องเป็นที่ 13เมษานั้น ก็เป็นกำหนดให้จำกันได้ง่ายๆ เพราะว่าจริงๆแล้ว การนับขึ้นปีใหม่นั้น เค้าจะถือเอาวันที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าไปในราศีเมษ ซึ่งวันก็จะไม่ตรงกันในแต่ละปี แต่เพื่อให้ง่ายที่จะจำ ก็เหมาๆเอาเป็นวันที่ 13เมษาไป

ที่มาของรูปครับ http://www.rd1677.com/rd_korat/open_korat.php?id=69316

แล้วจริงๆพ.ศ.เปลี่ยนวันใหน?

จริงๆแล้งพ.ศ.เนี่ย ก็คือการนับว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านได้ปรินิพพานไปแล้วกี่ปี นั่นคือ ถ้าจะเอาให้ถูกต้องแล้ว เราต้องขึ้นพ.ศ.ใหม่กันวัน วิสาขบูชาครับ

เอาเข้าจริงไทยก็นับพ.ศ.แปลกจากประเทศเถรวาทอื่นๆ

เอาเข้าลึกๆแล้วเนี่ย พี่ไทยเราก็นับพ.ศ.ไม่เหมือนกับชาวบ้านอีกครับ คือ ประเทศเถรวาทอื่นๆเช่นพม่าจะมีปีพ.ศ.มากกว่าเรา1ปี มันก็มีเหตุผลง่ายๆครับ

ไทยเราจะนับอย่างนี้ครับว่า เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานครบ 1 ปี เราถึงนับเป็นปีที่1 โดยบอกว่า ตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ปรินิพพานไปแล้ว 1 ปี

ประเทศอื่นๆเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานปุ๊ปเค้านับ 1 เลยครับ พอผ่านไป 1 ปีเค้าก็นับ 2 โดยเค้าบอกว่า นี่คือปีที่1แห่งการปรินิพพาน พอครบปีนึงก็นับ 2 โดยบอกว่า นี่เข้าสู้ปีที่ 2 ของการปรินิพพาน

แล้วปีใหม่จริงๆของคนไทยหล่ะ

จะเห็นว่า เรานับปีใหม่ตามหลักศาสนาบ้าง ตามหลักสากลบ้าง ตามหลักความที่รับเข้ามาบ้าง … แล้วคนไทยดั้งเดิมจริงๆมีวันปีใหม่มั้ย … มีครับ แต่ทุกคนคงนึกไม่ถึง

วันปีใหม่ของคนไทยดั้งเดิมจริงๆคือ “วันลอยกระทง” ครับ หลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่คือ การนับเดือนแบบไทยครับ ลอยกระทงวันเพ็ญเดือน 12 เสร็จแล้วก็เข้าสู่เดือนอ้าย (เดือน1) ในช่วงธันวาคม เห็นมั้ยครับ ว่าเรานับเดือนแบบไทยกันอย่างนี้

ถามว่าแล้ววันลอยกระทงสำคัญยังไง คือวันลอยกระทงเป็นวันเปลี่ยนฤดูครับ สิ้นสุดฤดูฝน เก็บเกี่ยวเรียบร้อย แล้วมาเฉลิมฉลองกัน

ที่มาของรูปครับ http://www.rd1677.com/branch.php?id=46049

 
2 Comments

Posted by on March 27, 2011 in ทั่วไป

 

Tags: , ,

อยากเป็นพระพุทธเจ้า ต้องทำอย่างไร?

เคยได้ยินคนถามครับ ว่า ถ้าอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง ต้องทำอย่างไร?

ก่อนอื่นเราต้องมาทำเข้าใจก่อนครับ ว่าพระพุทธเจ้าคือใคร แล้วทำอย่างไรถึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

****************************************************************************

พระพุทธเจ้าคือใคร

พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เองครับ เราเรียกท่านว่า “พุทธภูมิ”

พุทธภูมิแบ่งออกเป็น 2 ประเภทครับ คือ

  • พระสัมมาสัมพุทธเจ้า – ผู้ที่พ้นทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และ สอนสั่ง ประกาศออกเป็นศาสนา
  • พระปัจเจกพุทธเจ้า – ผู้ที่พ้นทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่ได้สอนสั่ง

เรายังมีอีกคำนึงครับ คือ “สาวกภูมิ” เป็นคำไว้เรียกคนที่เหลือ คนที่ต้องรอคำสอนจากพระพุทธเจ้า ถึงจะพ้นทุกข์ได้

ทีนี้ใครอยากเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องเลือกก่อนครับว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าแบบใหน แต่ในที่นี้ผมขอเล่าถึงเฉพาะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ

****************************************************************************

พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกี่ประเภท

พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทั้งหมด 3 ประเภทครับ คือ

  • ปัญญาธิกะ – คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “ปัญญา” เป็นตัวนำ
  • ศรัทธาธิกะ -คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “ศรัทธา” เป็นตัวนำ
  • วิริยาธิกะ – คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “วิริยะ” เป็นตัวนำ

*** พระพุทธเจ้าของเรา ท่านเป็น ปัญญาธิกะ ครับ

ถามว่าแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง …​ หลักๆก็คือ ระยะเวลาในการสั่งสมพระบารมีครับ ผมได้ทำสรุปไว้แล้ว ลองดูได้เลยครับ

อ้างอิงครับ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8630

ผู้ที่กำลังสะสมบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เราจะำเรียกท่านว่า “พระโพธิสัตว์” ครับ

ถามว่า เราสามารถเลือกได้มั้ย ว่าเราอยากเป็นพระพุทธเจ้าแบบใหน … ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ถ้าเข้าใจไม่ผิด เลือกไม่ได้ครับ แล้วแต่จริตของแต่ละท่าน

ทีนี้มีรายละเอียดอยู่นิดหน่อย คือ เราจะสังเกตุเห็นว่า การสะสมบารมีนั้น แบ่งออกเป็น 3 ช่วง

ถ้าท่านผู้ใดถึงช่วงที่ 3 แล้ว คือได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้น จะเที่ยงต่อการได้เป็นพระพุทธเจ้าครับ คือ ต้องได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ต่างจาก2ช่วงแรก ที่ยังมีโอกาสถอดใจ เลิกเป็นพระพุทธเจ้า

เราเีรียกผู้ทีเที่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้าว่า นิยตโพธิสัตว์ ส่วนผู้ที่ยังไม่เที่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้า เราจะเรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ ครับ

ทีนี้ การจะได้รับพุทธทำนายเนี่ย ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับกันง่ายๆนะครับ ในชาติที่จะได้รับพุทธทำนายนั้นต้องมีคุณบัติครบ 8 ประการด้่วย เรียกว่า “อัฏฐธรรมสโมธาน ๘”

  1. มนุสสัตตัง – มีอัตภาพเป็นมนุษย์
  2. ลิงคสัมปัตติ – เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นสตรีหรือบัณเฑาะก์
  3. เหตุ – ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยพร้อมบรรลุมรรคผลได้ในขณะนั้น
  4. สัตถารทัสสนะ – พบพระพุทธเจ้าเฉพาะหน้า
  5. ปัพพัชชา – อยู่ในเพศบรรพชิต
  6. คุณสัมปัตติ – เป็นผู้มีโพธิญาณ คือ อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘
  7. อธิกาโร – มีการกระทำที่ยิ่งใหญ่ แม้ชีวิตของตนก็สละแด่พระโพธิญาณได้
  8. ฉันทตา – เป็นผู้มีจิตรักพระโพธิญาณมั่นคง

อ้างอิงครับ http://board.palungjit.com/f13/อานิสงส์-๑๘-ประการของพระนิยตโพธิสัตว์-155804.html

พอรุ่งอรุณก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เทวดาฝ่ายฟ้อนร่อนรำถวายเป็นพุทธบูชา

****************************************************************************

บารมีที่ต้องสะสม

เราก็รู้แล้วนะครับ ว่า พระพุทธเจ้ามีกี่ประเภท ใช้เวลาสั่งสมพระบารมีนานเท่าไหร่ แต่ว่า บารมีมีอะไรบ้างหล่ะ?

บารมี 10 ประเภทครับ และ แต่ละประเภทเนี่ย ก็แยกย่อยออกเป็น 3 ระดับ การจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องสะสมบารมีทั้ง 10 ให้เต็ม เรามาดูกันครับว่า บารมี 10มีอะไรบ้าง

  1. ทาน (การให้ การเสียสละ)
  2. ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย, ความประพฤติดีงามถูกต้องตามระเบียบวินัย)
  3. เนกขัมมะ (การออกบวช, ความปลีกตัวปลีกใจจากกาม)
  4. ปัญญา (ความรอบรู้, ความหยั่งรู้เหตุผล เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง)
  5. วิริยะ (ความเพียร, ความแกล้วกล้า ไม่เกรงกลัวอุปสรรค พยายามบากบั่นอุตสาหะ ก้าวหน้าเรื่อยไป ไม่ทอดทิ้งธุระหน้าที่)
  6. ขันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใช้สติปัญญาควบคุมตนให้อยู่ในอำนาจเหตุผล และแนวทางความประะพฤติ ที่ตั้งไว้เพื่อจุดหมายอันชอบไม่ลุอำนาจกิเลส)
  7. สัจจะ (ความจริง คือ พูดจริง ทำจริง และจริงใจ)
  8. อธิษฐาน (ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอน และดำเนินตามนั้นแน่นแน่)
  9. เมตตา (ความรักใคร่, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกื้อกูลให้ผู้อื่นและเพื่อนร่วมโลกทั้งปวงมีความสุขความเจริญ)
  10. อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง, ความวางใจสงบราบเรียบสม่ำเสมอ เที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงไปด้วยความยินดียินร้ายหรือชอบฟัง)

อ้างอิงครับ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=325

แล้วบารมี 3 ระดับมีอะไรบ้าง

  1. “บารมี” – ทรงบำเพ็ญเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงทรัพย์สมบัติ  ยศฐาบรรดาศักดิ์  และคนที่พระองค์รัก
  2. “อุปบารมี” – ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงอวัยวะร่างกาย
  3. “ปรมัตถบารมี” – ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงชีวิต

อ้างอิงครับ http://www.jariyatam.com/ten-fo-buddha/59-2009-06-21-02-06-12

เราก็จะเห็นนะครับ ว่ามีบารมีที่ต้องสะสมอยู่ 10 ประการ แล้วก็ยังแบ่งออกเป็น 3 ระดับ เราจึงนิยมเรียกว่า บารมี 30

ในประไตรปิฏกมีบันทึกไว้นะครับ ว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านทรงบำเพ็ญบารมีอย่างไรบ้าง เรามักจะเรียกกันว่า พระเจ้า ๓๐ ชาติ ถ้าใครสนใจก็ไปหาซื้อหนังสืออ่านได้ครับ มีคนรวมเล่มออกมาขายมากมาย

ที่มาของรูปครับ  http://palungjit.com/feature/showphoto.php?photo=22662&size=big

****************************************************************************

หวังว่านี้คงพอจะเป็นแนวทางคร่าวๆให้สำหรับท่านที่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้านะครับ

แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าเริ่มต้นยังไงดี ผมก็แนะนำให้หาหนังสือเกี่ยวกับอดีตชาติของพระพุทธเจ้ามาอ่านครับ จะได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านได้ทรงทำอะไรมาบ้างกว่าจะถึงวันนี้ หนังสือที่แนะนำก็เป็นพวก ทศบารมี พระเจ้า๑๐ชาติ พระเจ้า๓๐ชาติ พระเจ้า๕๐๐ชาติ

สุดท้ายนี้ ผมขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ ที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้

****************************************************************************

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

วิธีนับอสงไขย

มาเป็นผู้มีบารมีกันเถอะ

ทำไมพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสัตว์?

 
29 Comments

Posted by on February 7, 2011 in ธรรมะ

 

Tags: , , , , , , , , , , , , ,

แนะนำ: บทเพลงพระพุทธประวัติ

 
2 Comments

Posted by on January 27, 2011 in Reviews

 

Tags: , , , , , , , ,