เคยได้ยินคนถามครับ ว่า ถ้าอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง ต้องทำอย่างไร?
ก่อนอื่นเราต้องมาทำเข้าใจก่อนครับ ว่าพระพุทธเจ้าคือใคร แล้วทำอย่างไรถึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
****************************************************************************
พระพุทธเจ้าคือใคร
พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เองครับ เราเรียกท่านว่า “พุทธภูมิ”
พุทธภูมิแบ่งออกเป็น 2 ประเภทครับ คือ
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้า – ผู้ที่พ้นทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และ สอนสั่ง ประกาศออกเป็นศาสนา
- พระปัจเจกพุทธเจ้า – ผู้ที่พ้นทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่ได้สอนสั่ง
เรายังมีอีกคำนึงครับ คือ “สาวกภูมิ” เป็นคำไว้เรียกคนที่เหลือ คนที่ต้องรอคำสอนจากพระพุทธเจ้า ถึงจะพ้นทุกข์ได้
ทีนี้ใครอยากเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องเลือกก่อนครับว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าแบบใหน แต่ในที่นี้ผมขอเล่าถึงเฉพาะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ
****************************************************************************
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกี่ประเภท
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทั้งหมด 3 ประเภทครับ คือ
- ปัญญาธิกะ – คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “ปัญญา” เป็นตัวนำ
- ศรัทธาธิกะ -คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “ศรัทธา” เป็นตัวนำ
- วิริยาธิกะ – คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “วิริยะ” เป็นตัวนำ
*** พระพุทธเจ้าของเรา ท่านเป็น ปัญญาธิกะ ครับ
ถามว่าแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง … หลักๆก็คือ ระยะเวลาในการสั่งสมพระบารมีครับ ผมได้ทำสรุปไว้แล้ว ลองดูได้เลยครับ
อ้างอิงครับ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8630
ผู้ที่กำลังสะสมบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เราจะำเรียกท่านว่า “พระโพธิสัตว์” ครับ
ถามว่า เราสามารถเลือกได้มั้ย ว่าเราอยากเป็นพระพุทธเจ้าแบบใหน … ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ถ้าเข้าใจไม่ผิด เลือกไม่ได้ครับ แล้วแต่จริตของแต่ละท่าน
ทีนี้มีรายละเอียดอยู่นิดหน่อย คือ เราจะสังเกตุเห็นว่า การสะสมบารมีนั้น แบ่งออกเป็น 3 ช่วง
ถ้าท่านผู้ใดถึงช่วงที่ 3 แล้ว คือได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้น จะเที่ยงต่อการได้เป็นพระพุทธเจ้าครับ คือ ต้องได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ต่างจาก2ช่วงแรก ที่ยังมีโอกาสถอดใจ เลิกเป็นพระพุทธเจ้า
เราเีรียกผู้ทีเที่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้าว่า นิยตโพธิสัตว์ ส่วนผู้ที่ยังไม่เที่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้า เราจะเรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ ครับ
ทีนี้ การจะได้รับพุทธทำนายเนี่ย ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับกันง่ายๆนะครับ ในชาติที่จะได้รับพุทธทำนายนั้นต้องมีคุณบัติครบ 8 ประการด้่วย เรียกว่า “อัฏฐธรรมสโมธาน ๘”
- มนุสสัตตัง – มีอัตภาพเป็นมนุษย์
- ลิงคสัมปัตติ – เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นสตรีหรือบัณเฑาะก์
- เหตุ – ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยพร้อมบรรลุมรรคผลได้ในขณะนั้น
- สัตถารทัสสนะ – พบพระพุทธเจ้าเฉพาะหน้า
- ปัพพัชชา – อยู่ในเพศบรรพชิต
- คุณสัมปัตติ – เป็นผู้มีโพธิญาณ คือ อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘
- อธิกาโร – มีการกระทำที่ยิ่งใหญ่ แม้ชีวิตของตนก็สละแด่พระโพธิญาณได้
- ฉันทตา – เป็นผู้มีจิตรักพระโพธิญาณมั่นคง
อ้างอิงครับ http://board.palungjit.com/f13/อานิสงส์-๑๘-ประการของพระนิยตโพธิสัตว์-155804.html
****************************************************************************
บารมีที่ต้องสะสม
เราก็รู้แล้วนะครับ ว่า พระพุทธเจ้ามีกี่ประเภท ใช้เวลาสั่งสมพระบารมีนานเท่าไหร่ แต่ว่า บารมีมีอะไรบ้างหล่ะ?
บารมี 10 ประเภทครับ และ แต่ละประเภทเนี่ย ก็แยกย่อยออกเป็น 3 ระดับ การจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องสะสมบารมีทั้ง 10 ให้เต็ม เรามาดูกันครับว่า บารมี 10มีอะไรบ้าง
- ทาน (การให้ การเสียสละ)
- ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย, ความประพฤติดีงามถูกต้องตามระเบียบวินัย)
- เนกขัมมะ (การออกบวช, ความปลีกตัวปลีกใจจากกาม)
- ปัญญา (ความรอบรู้, ความหยั่งรู้เหตุผล เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง)
- วิริยะ (ความเพียร, ความแกล้วกล้า ไม่เกรงกลัวอุปสรรค พยายามบากบั่นอุตสาหะ ก้าวหน้าเรื่อยไป ไม่ทอดทิ้งธุระหน้าที่)
- ขันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใช้สติปัญญาควบคุมตนให้อยู่ในอำนาจเหตุผล และแนวทางความประะพฤติ ที่ตั้งไว้เพื่อจุดหมายอันชอบไม่ลุอำนาจกิเลส)
- สัจจะ (ความจริง คือ พูดจริง ทำจริง และจริงใจ)
- อธิษฐาน (ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอน และดำเนินตามนั้นแน่นแน่)
- เมตตา (ความรักใคร่, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกื้อกูลให้ผู้อื่นและเพื่อนร่วมโลกทั้งปวงมีความสุขความเจริญ)
- อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง, ความวางใจสงบราบเรียบสม่ำเสมอ เที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงไปด้วยความยินดียินร้ายหรือชอบฟัง)
อ้างอิงครับ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=325
แล้วบารมี 3 ระดับมีอะไรบ้าง
- “บารมี” – ทรงบำเพ็ญเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงทรัพย์สมบัติ ยศฐาบรรดาศักดิ์ และคนที่พระองค์รัก
- “อุปบารมี” – ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงอวัยวะร่างกาย
- “ปรมัตถบารมี” – ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงชีวิต
อ้างอิงครับ http://www.jariyatam.com/ten-fo-buddha/59-2009-06-21-02-06-12
เราก็จะเห็นนะครับ ว่ามีบารมีที่ต้องสะสมอยู่ 10 ประการ แล้วก็ยังแบ่งออกเป็น 3 ระดับ เราจึงนิยมเรียกว่า บารมี 30
ในประไตรปิฏกมีบันทึกไว้นะครับ ว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านทรงบำเพ็ญบารมีอย่างไรบ้าง เรามักจะเรียกกันว่า พระเจ้า ๓๐ ชาติ ถ้าใครสนใจก็ไปหาซื้อหนังสืออ่านได้ครับ มีคนรวมเล่มออกมาขายมากมาย
ที่มาของรูปครับ http://palungjit.com/feature/showphoto.php?photo=22662&size=big
****************************************************************************
หวังว่านี้คงพอจะเป็นแนวทางคร่าวๆให้สำหรับท่านที่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้านะครับ
แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าเริ่มต้นยังไงดี ผมก็แนะนำให้หาหนังสือเกี่ยวกับอดีตชาติของพระพุทธเจ้ามาอ่านครับ จะได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านได้ทรงทำอะไรมาบ้างกว่าจะถึงวันนี้ หนังสือที่แนะนำก็เป็นพวก ทศบารมี พระเจ้า๑๐ชาติ พระเจ้า๓๐ชาติ พระเจ้า๕๐๐ชาติ
สุดท้ายนี้ ผมขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ ที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้
****************************************************************************
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
วิธีนับอสงไขย
มาเป็นผู้มีบารมีกันเถอะ
ทำไมพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสัตว์?