บทสวด “เมตตากรณียสูตร” เป็นบทสวดที่ดังมากบทหนึ่งครับ พวกเราต่างรู้จักกันดี ว่าสวดแล้ว เทวาดรัก ผีไม่มารบกวน
วันนี้มาฟังเรื่องที่มาของคาถาบทนี้กันครับ
*************************************************************
เรื่องมันมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งครับ มีพระภิกษุจำนวน 500 รูป ได้เรียนรู้การปฏิบัติกรรมฐานจากพระพุทธเจ้า แล้วก็ออกเดินทางไปหาที่เหมาะๆสำหรับปฏิบัติธรรม พวกท่านได้ไปพบภูเขาแห่งหนึ่ง บรรยากาศดี มีต้นไม้ร่มรื่น น้ำเย็นใสสะอาด
พวกท่านก็ได้พักอยู่คืนนึงแล้วตอนนเช้าก็ได้ออกไปบิณฑบาทที่หมู่บ้านใกล้ๆ ชาวบ้านนั้นก็ดีใจมาก ที่มีพระมาพักอยู่ใกล้ๆ เพราะไม่ค่อยมีพระมาอยู่เลย ชาวบ้านเลยนิมนต์ให้พระอยู่ประจำที่ตรงนั้น แล้วก็จัดแจงช่วยกันสร้างกุฏิแล้วหาเครื่องใช้ต่างๆเช่น เตียง ตั่ง มาให้
ทีนี้พระท่านก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมตลอดวันตลอดคืน โดยพวกท่านก็ออกมานั่งสมาธิกันอยู่ที่โคนไม้
เรื่องมันเกิดตรงนี้หล่ะครับ รุกขเทวดาที่อยู่ประจำต้นไม้ต่างๆ พอมีพระมานั่งใต้ต้นไม้ ท่านก็อยู่ในต้นไม้ไม่ได้ ต้องพาครอบครัวออกมานอกต้นไม้ (จริงๆนะ ในอรรถคถาเขียนไว้แบบนี้ ^ ^) พวกเทวดาก็ได้แต่ออกมารอด้านแล้ว อยู่อย่างระหกระเหิน แล้วก็คอยแต่เฝ้าดูว่า เมื่อไหร่พระท่านจะไปซักที
ทีนี้พวกเทวดาท่านก็มาประชุมกันแล้วคิดว่า พระท่านเข้าพรรษาแล้ว คงจะต้องอยู่ตรงนี้ไปอีกอย่างน้อย3เดือน พวกเราไม่สามารถให้ลูกๆของเราอยู่ระหกระเหินได้นานขนาดนั้น … อย่ากะนั้นเลย พวกเรามาขู่ให้พระท่านกลัวดีกว่า ท่านจะได้ไปจากโคนไม้ของเรา
เท่านั้นหล่ะครับ พอตกกลางคืน เหล่าเทวดาก็แปลงร่างเป็นผี กลิ่นเหม็นเน่า ออกมาหลอกพระ ^ ^” พระท่านก็กระเจิงสิครับ สติไม่เหลือ อยู่กันด้วยความหวาดกลัว ผิวพรรณเริ่มหมองคล้ำ ไม่สดใสเหมือนเดิม
แต่ว่าพระท่านก็ดีนะครับ ไม่เล่าให้คนอื่นฟังเลยว่าตัวเองเจอผี ทั้งๆที่เจอเหมือนๆกันทุกท่าน จนมาวันนึงพวกพระท่านได้ออกมาประชุมกัน และได้พูดคุยกัน เลยรู้ว่า โดนผีหลอกกันถ้วนหน้า
พวกท่านก็เห็นตรงกันว่า ที่ตรงนี้ไม่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมแล้ว พวกเรากลับไปหาพระพุทธเจ้ากันดีกว่า ว่าแล้วพวกท่านก็เก็บข้าวของและออกเดินทางทันที
เมื่อถึงกรุงสาวัตถีแล้ว ก็พากันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าพบเข้าก็ถามว่า อยู่ในพรราษา พระท่านออกเดินทางมาได้อย่างไร พวกพระทั้งหลายก็เล่าเรื่องให้พระพุทธเจ้าฟัง และถามพระพุทธเจ้าว่า ที่ไหนที่จะเหมาะสำหรับปฏิบัติธรรมสำหรับพระเหล่านี้
พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบกลับเป็นใจความว่า “ไม่มีที่ใดอีกแล้วในชมพูทวิป ที่จะเหมาะกับท่านทั้งหลาย เท่ากับที่ที่ท่านทั้งหลายพึ่งจากมา ถ้าพวกท่านกลับไปปฏิบัติธรรมตรงนั้น พวกท่านจะบรรลุธรรม”
และพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสสอน “กรณียเมตตสูตร” ให้กับพระทั้งหลาย โดยบอกว่า ถ้าเธอไม่อยากมีภัยจากเทวดาทั้งหลาย ให้สวดบทนี้
พระทั้งหลายได้กลับไปยังป่าแห่งเดิน ได้สวด”กรณียเมตตสูตร” ทำเทวดาไม่มารบกวน สุดท้ายพวกท่านก็ได้บรรลุอรหันต์
*************************************************************
ต่อไปเป็นบทสวดแทรกคำแปล
กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
กิจอันใดอันพระอริยเจ้า บรรลุบท กระทำบำเพ็ญแล้ว กิจอันนั้น กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์พึงกระทำบำเพ็ญ
สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี
กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง เป็นผู้ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง
สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็นผู้มีกิจธุระน้อย ประพฤติเบากายจิต
สันตินทริโย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ
เป็นผู้มีอินทรีย์อันสงบระงับแล้ว มีปัญญา เป็นผู้ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย
นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง
วิญญูชน ติเตียนชนอื่นทั้งหลายได้ด้วยกรรมอันใด ไม่พึงประพฤติกรรมอันนั้นเลย
สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
ขอสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด
เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา
สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ ยังเป็นผู้สะดุ้ง(คือมีตัณหา) หรือเป็นผู้มั่นคง (ไม่มีตัณหา) ทั้งหมดไม่เหลือ
ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะนุกะถูลา
เหล่าใดเป็นทีฆชาติหรือโตใหญ่ หรือปานกลาง หรือต่ำเตี้ย หรือผอม หรืออ้วนพี
ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา
เหล่าใดที่เราเห็นแล้ว หรือมิได้เห็นก็ดี
เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร
เหล่าใดอยู่ในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ดี
ภูตา วา สัมภะเวสี วา
ที่เกิดแล้ว หรือกำลังแสวงหาภพอยู่ก็ดี
สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด
นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ
สัตว์อื่นไม่พึงข่มเหงสัตว์อื่น ไม่พึงดูหมิ่นอะไรๆ เขา ในที่ใดๆ เลย
พยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ
ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน เพราะความกริ้วโกรธ หรือความคุมแค้น
มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข
มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน ด้วยยอมสละชีวิตของตนได้ ฉันใด
เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
พึงเจริญเมตตา มีในใจ ไม่มีประมาณ ในสัตว์ทั้งหลาย แม้ฉันนั้น
เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
บุคคลพึงเจริญเมตตา มีในใจ ไม่มีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น
อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ
ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง
อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง
เป็นธรรมอันไม่คับแคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู
ติฎฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ
ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น ยืนอยู่ก็ดี เดินไปก็ดี นั่งแล้วก็ดี นอนแล้วก็ดี เป็นผู้ปราศจากความง่วงนอนเพียงใด
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ
ก็ตั้งสติอันนั้นไว้เพียงนั้น
พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ
บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวกิริยาอันนี้ว่า เป็นพรหมวิหารในพระศาสนานี้