RSS

Tag Archives: พระมหากัสสปะ

ประวัติย่อ ภิกษุณี เอตทัคคะทั้ง ๑๓ (ตอนที่ ๒)

5 พระนางภัททากุณฑลเกสาเถรี ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน ตรัสรู้เร็วพลัน

พระนางเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายด้านตรัสรู้เร็ว เพราะนางเป็นผู้มีปัญญามาก ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงบทเดียวก็เป็นพระอรหันต์ นั่นคือ

“ผู้ใดกล่าวคาถาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้ตั้ง ๑,๐๐๐ คาถา ผู้กล่าวคาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้เพียงคาถาเดียว ยังผู้ฟังให้สงบระงับได้ ชื่อว่า ประเสริฐกว่าแล”

ประวัติย่อ

ท่านเป็นธิดาของเศรษฐี ซึ่งท่านก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีสมกับฐานะ วันหนึ่ง ตอนท่านอายุ 16 ขณะกำลังนั่งอยู่ในปราสาท มองลงมาเห็นคนแห่ประจานโจรลักขโมยผู้หนึ่ง ซึ่งโจรนั้นกำลังจะถูกนำไปประหาร นางเกิดหลงรักขโมยนั้น ใคร่จะได้มาเป็นคู่ชีวิต นางจึงไม่ยอมกินอาหารใดๆ บิดามารดาทราบเข้า ก็เลยมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงเล่าความไปว่ นางเกิดสงสารขโมยนั้น ไม่ว่า บิดามารดาจะห้ามเท่าไหร่นางก็ไม่ฟัง จบบิดามารดาไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะนางบอกว่า ถ้าไม่ยอมนางจะอดอาหารจนตาย บิดามารดา จึงยอมตามใจนาง แอบเอาเงินไปให้เจ้าหน้าที่  ซึ่งเจ้าหน้าที่นั้นก็รับเงิน แล้วไปประหารโจรคนอื่นแทน

เมื่อได้โจรนั้นมาเป็นสามีแล้ว นางก็ปรนิบัติโจรอย่างดี ทำอาหารได้ทานด้วยมือของตนเอง แต่ว่า นิสัยโจรเกินกว่าจะเยียวยา โจรคิดอยากจะขโมยเสื้อผ้าของนางไปขาย เพื่อเอาเงินไปกินเหล้า จึงหลอกนางว่า ตอนที่โดนจับนั้น เค้าได้ ไปบนบานกับเทพเจ้าแห่งเขาที่ชื่อว่า “เขาทิ้งโจร” ไว้ ว่า ถ้ารอดออกไปได้จะทำพิธีบวงสรวง และ ตอนนี้เค้าอยากจะทำพิธีนี้

นางก็ตามใจโจรนั้น นางได้จัดของบวงสรวงอย่างดี พร้อมทั้งบริวารและญาติมากมาย ติดตามไปกับโจร โดยโจรให้นางแต่งตัวให้ล้ำค่ามาที่สุด แล้วทั้งหมดก็ไปยังเขาทิ้งโจรด้วยกัน เมื่อถึงเชิงเขา โจรก็บอกให้คนทั้งหลายรอก่อน เขาจะไปกับธิดาเศรษฐีตามลำพัง เมื่อขึ้นไปถึงหน้าผาแล้ว โจรก็บอกว่า จงถอดของมีค่ามาให้หมด เราจะเอาไปกินเหล้า ไม่ว่า นางจะอธิบายอย่างไรว่า นางสามารถหาเหล้ามาให้โจรได้มากมาย แต่โจรก็ไม่ยอม นางจึงต้องใช้ปัญญาเอาตัวรอด

นางอ้างว่า ขอมองหน้าและทำความเคารพสามีเป็นครั้งสุดท้ายโดยการใหว้สามีทั้ง4 ทิศ นางค่อยๆไหว้สามีที่ข้าง เมื่อโจรเผลอ นางก็ผลักโจรตกเหวไป

เมื่อโจรตายแล้ว นางคิดได้ว่า นางคงไม่มีหน้ากลับไปยังบ้านตน เพราะ ว่าบอกให้พ่อแม่ไปซื้อโจรมา สุดท้ายก็ฆ่าโจรนั้นทิ้งเสีย นางจึง ออกเดินทางไปจนพบ สำนักบวช ของพวกปริพาชก และ ได้ออกบวชในสำนักนั้น นางได้ออกบวชโดยถอนผมด้วยวิธีเอาน้ำตาลก้อนมาถอนผมที่ละเส้น เมื่อผมยาวขึ้นมาใหม่ก็ม้วนเป็นก้อนไม่ยาวดังเดิม คนทั้งหลายจึงเรียกนางว่า กุณฑลเกสี คือ ผู้มีผลดังหม้อ

โดยปรกติแล้ว สำนักนี้ มีการศึกษาอยู่ 2 แบบคือ ฝึกณาณ กับ ฝึกเรียนรู้คำถามคำตอบ 1000 ข้อ นางเลือกที่จะเรียนรู้วิชาคำถามและก็สามารถเรียนจบได้ในเวลาอันสั้น ปัญญาของนางนั้นมีมาก ไม่ใครสามารถโต้วาทีกับนางได้ จนเป็นครั่นคร้ามไปทั่ว

ต่อมานางได้ถือเอากิ่งหว้าเป็นสัญลักษณ์ โดยเอากิ่งหว้าไปปักตามที่ต่างๆ โดยท้าว่า หากใครคิดว่า มีปัญญามากก็ให้มาทำลายกิ้งหว้านี้ แล้วมาโต้วาทีกับนาง ถ้านางแพ้ นางจะยอมเป็นคนรับใช้ แต่ถ้าคนชนะเป็นนักบวช นางจะไปบวชในสำนักนั้น

นางโต้วาทีชนะชนทั้งหลายไปทั่ว จนมาถึงที่กรุงสาวัตถี นางก็ปักกิ่งหว้าเช่นเคย เด็กทั้งหลายก็ไปมุงดูกิ่งหว้านั้น พระสารีบุตรเดินผ่านมาพอดี จึงเข้าไปถาม และ บอกให้เด็กไปทำลายกิ่งหว้า ท่านจะเป็นผู้โต้วาทีเอง

บ่ายวันนั้นคนมากันเต็มไปหมดเพื่อชมการโต้วาทีของ พระสารีบุตร กับ นางกุณฑลเกสี แต่ว่า ไม่ว่า นางกุณฑลเกสีจะถามอะไรไปพระสารีบุตรก็ตอบได้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้จริงแล้ว เพราะว่า ก่อนบวชพระสารีบุตรเคยบวชในสำนักปริพาชกเป็นผุ้เชีี่ยวชาญในคำสอนต่างๆ และเป็นถึงระดับอาจารย์ของเหล่าปริพาชกเลยทีเดียว

เมื่อนางกุณฑลเกสีหมดคำถาม พระสารีบุตรก็ถามบ้างเพียงคำถามเดียวว่า “อะไรชื่อว่าหนึ่ง” นางตอบคำถามนี้ไม่ได้เลยยอมและออกบวชเป็นภิกษุณีในวันนั้นเอง

วันเดียวกันนั้นเอง พระสารีบุตรได้พานางไปพบพระพุทธเจ้า และ พุทธเจ้าก็เทศน์ว่า “ผู้ใดกล่าวคาถาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้ตั้ง ๑,๐๐๐ คาถา ผู้กล่าวคาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้เพียงคาถาเดียว ยังผู้ฟังให้สงบระงับได้ ชื่อว่า ประเสริฐกว่าแล” เพียงเท่านี้นางก็บรรลุอรหันต์ขณะยืนนั้นเอง

*************************************************************

6 พระนางภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธราพิมพาเถรี) ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน ทรงอภิญญา

พระนางภัททากัจจานาเถรีเป็นผู้ทรงอภิญญาอย่างใหญ่ ซึ่งไม่มีภิกษุณีใดเทียบเท่า ผู้ที่บรรลุอภิญญาใหญ่นี้มีเพียง 4 ท่านคือ พระสารีบุตรเถระ พระมหาโมคคัลลานะเถระ พระพากุลเถระ และพระนางภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธราพิมพา)

ประวัติย่อ

ท่านเกิดในสกุลกษัตริย์ ราชวงศ์โกลิยะ เมื่ออายุได้ 16 พรรษา ทรงได้อภิเสกสมรสกับ เจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเมื่อายุได้ 29 พรรษาทรงมีพระโอรสนามว่า เจ้าชายราหุล ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะได้ออกบวช และ บรรลุเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

ตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าออกบวช เมื่อพระนางทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงอยู่เช่นไร นางจะอยู่เช่นนั้นด้วย เช่น เมื่อทรงทราบว่า พระพุทธเจ้านุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ พระนางก็จะเปลี่ยนมานุ่งห่มเช่นเดียวกัน แม้นว่าจะมีญาติๆจะมาขอรับนางกลับไปเลี้ยงดู พระนางก็ไม่ยอม

เมื่อพระพุทธเจ้ากลับมาโปรดพระญาติในกรุงกบิลพัสดุ์ ตอนแรกนั้นพระนางได้ไม่มาเข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเลย จนภายหลังพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาหาพระนางพร้อมทั้งพระโมคคัลลานะสารีบุตร และ เทศนาสอนสั่งจนนางได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

ภายหลังเมื่อพระนางมหาปชาบดีได้ออกบวชเป็นภิกษุณีแล้ว พระนางก็คิดว่า ชนทั้งหลายก็ได้พากันออกบวช แม้นแต่สามีและลูกของเราก็ยังออกบวช พระนางจึงออกบวชด้วพร้อมกับพระนางรูปนันทา และ บริวาร 500 นาง และ พระนางก็ได้บรรลุอรหันต์ในเวลาไม่นาน

พระนางได้ละสังขารเข้าสู่พระนิพพานเมื่อพระชนพรรษาได้ 78 ปี หรือคือ 2 ปีก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

เสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพา ซึ่งกำลังหลับสนิท เป็นนิมิตอำลาผนวช

*************************************************************

7 พระนางภัททกาปิลานีเถรี ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

ท่านเป็นผู้เลิศด้านมี ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ผู้เป็นเลิศด้านระรึกชาติ

ประวัติย่อ

ท่านเป็นธิดาสาวของเศรษฐีผู้หนึ่ง ต่อมาได้แต่งงานกับ “ปิปผลิมานพ” ทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่แปลกคือ ไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวกันเลย เวลานอนกก็เอาดอกไม้มาวางไว้ตรงกลาง ไม่มีใครข้ามดอกไม้นั้นไปโดนตัวอีกคน

เมื่อบิดามารดาของท่านทั้งสองเสียชีวิต ท่านทั้งสองก็ได้รับสมบัติทั้งหมด ผ่านมาวันหนึ่ง ท่านได้ออกไปดูคนเอาเอาพืชผลมาตากแดด เห็นนกจิกกินหนอนแมลง เลยถามสาวใช้ว่า กรรมที่นกมากินหนอนแมลงนั้นจะตกแก่ใคร สาวใช้ตอบว่า ย่อมต้องตกแก่นายหญิง เพราะเป็นเจ้าของสิ่งทั้งหมดนี้ นางเกิดความสังเวชมาก จึงตัดสินใจพร้อมกับสามี ออกบวชด้วยกัน โดยได้แบ่งสมบัติทั้งหมดให้ญาติและคนงาน เมื่อปลงผมแล้ว ท่านทั้งสองก็ออกเดินมาด้วยกันจนพบทางแยก ณ ทางแยกนั้นเอง ท่านทั้งสองก็ได้แยกทางกัน โดยสามีไปทางขวา ภรรยาไปทางซ้าย

ต่อมา ปิปผลิมานพ ได้ออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ได้นามว่า “พระมหากัสสปะ” ส่วนนางได้ไปออกบวชในสำนักของปริพาชก ภายต่อมาเมื่อพระนางมหาปชาบดีได้ออกบวชเป็นภิกษุณีแล้ว นางได้ออกบวชเป็นภิกษุณีด้วย และ ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ประกอบด้วยฤทธิ์และอภิญญา เป็นผู้เชี่ยวชาญในการระลึกชาติ

*************************************************************

8 พระนางกีสาโคตมีเถรี ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง

ประวัติย่อ

พระนางกีสาโคตมี สมัยเด็กนั้นเป็นคนยากไร้ เนื่องด้วยนางเป็นคนผอม คนทั้งหลายจึงเรียกพระนางว่า กีสาโคตมี (กีสา แปลว่า ผอม)

ในสมัยนั้นที่กรุงสาวัตถี มีเศรษฐีท่านหนึ่ง อยู่มาวันดีคืนดี สมบัติที่ท่านมีทั้งหมดก็กลายเป็นถ่าน หาค่าไม่ได้ ท่านเศรษฐีเสียใจมาก จนต่อมาได้เพื่อนคนนึงแนะนำว่า ให้เอาถ่านนี้ไปวางขายข้างถนน ถ้ามีใครมาทักว่า เอาทองมาขายทำไม แปลว่า คนนั้นคือผุ้มีบุญ ถ้าเป็นชายก็ให้รับมาเป็นลูกบุญธรรม ถ้าเป็นหญิงก็ให้สู่ขอมาเป็นธิดา

ท่านเศรษฐีก็ทำตาม เอาถ่านทั้งหลายมาวางขาย นางกีสาโคตมี มาเห็นเข้าเลยถามว่า คนทั้งหลายเค้าเอาอ้อยเอาผ้ามาขาย แต่ท่านเอาทองมาขายทำไม เมือนางเอามือจับที่ถ่านเหล่านั้น ถ่านก็กลับกลายมาเป็นทองอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นท่านเศรษฐีจึงได้ไปสู่ขอนางกิสโคตมี และ ยกสมบัติให้

เมื่อเวลาผ่านไป นางกีสาโคตมีได้ตั้งครรภ์กับบุตรชายเศรษฐี คลอดบุตรออกเป็นเด็กชาย เมื่อเด็กถึงวัยเดินได้ ก็ได้เสียชีวิตลง นางเสียใจมาก ห้ามคนทั้งหลายเผาศพลูกนาง อุ้มลูกร้องไห้ไปยังที่ต่างๆ ขอยาวิเศษชุบชีวิตลูก แต่คนทั้งหลายก็ไม่มีใครช่วยนางได้ ต่อมามีคนผุ้หนึ่งแนะนำให้นางไปหาพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน พระพุทธเจ้าสามารถช่วยนางได้

พระพุทธเจ้าได้บอกนางว่า ให้นางไปหาเมล็ดผักกาดมา จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย ถ้าหามาได้จะชุบชีวิตบุตรชายให้ นางฟังแล้วดีใจมาก อุ้มศพลูกชายไปยังบ้านต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถหาเมล็ดผักกาดได้ จริงๆแล้วทุกบ้านล้วนแต่มีเมล็ดผักกาด แต่ว่า ไม่มีบ้านใหนที่ไม่เคยมีคนตาย จากนั้นนางจึงคิดได้ วางศพลูกชายทิ้งไว้ในป่า แล้วไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ท่านก็บรรลุเป็นโสดาบัน ออกบวชเป็นภิกษุณี

วันหนึ่งขณะนางทำความสะอาดอุโบสถท่านได้มองเห็นดวงประทีป ท่านก็เอาดวงประทีปนั้นเป็นอารมณ์ และ ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

*************************************************************

9 พระนางสิงคาลมาตาเถรี ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน พ้นกิเลสด้วยศรัทธา

ประวัติย่อ

ท่านได้เกิดในตระกูลเศรษฐี ต่อมาได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่มีฐานะเสมอกัน มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ “สิงคาลกุมาร” ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงเรียกนางว่า สิงคาลมาตา

สามีของนางนั้นเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งต่อมาสามีนางได้เสียชีวิตลง ก่อนตาย สามีนางได้สั่งสอนให้ลูกชายของนางบูชาทิศ6  ซึ่งสิงคาลกุมารก็ทำตามอย่างดีคือ ยืนไหว้ทิศทั้งหก จนมาวันนึง พระพุทธเจ้าได้มาพบเข้า เลยสอนเรื่องทิศทั้ง 6 ของพระอริยะนั้น คือ

  1. ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ มารดาบิดา
  2. ทิศเบื้องขวาง ได้แก่ ครูอาจารย์
  3. ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตรภรรยา
  4. ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย
  5. ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ ทาสกรรมกร
  6. ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์

ซึ่งคำสอนนี้ทำให้ สิงคาลกุมาร คิดได้ และ ประกาศตนเป็นผู้ถึงรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต

เมื่อลูกของนางได้ถึงรัตนตรัยแล้ว นางก็ได้ไปฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า นางได้เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า นางมาคิดว่า สามีของนางก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว นางจึงคิดที่จะออกบวชเป็นภิกษุณี เมื่อได้ออกบวช ศรัทธาของนางก็มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

นางได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม แต่ยังไม่ทันได้ก้มลงกราบ นางได้ยืนมองสรีระของพระพุทธเจ้าด้วยความศรัทธาอันเปี่ยมล้น วันนั้นนางได้ฟังพระธรรมเทศนาและ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง

*************************************************************

อ่านเพิ่มเติมได้ที่เวปนี้ครับ http://www.84000.org/one/2/index.shtml

*************************************************************

ที่มาของรูปครับ http://aquabluez.tumblr.com/post/538459200/thank-you-for-following-beautiful-white-lotus

*************************************************************

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ประวัติย่อ ภิกษุณี เอตทัคคะทั้ง ๑๓ (ตอนที่ ๑)

ประวัติย่อ ภิกษุณี เอตทัคคะทั้ง ๑๓ (ตอนที่ ๓)

[ภาพที่ ๖๑] พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมี นำนางกษัตริย์บริวารไปทูลขออุปสมบทเป็นพระภิกษุณี

กรณีภิกษุณี ในมุมมองของ ท่านพระพรหมคุณาภรณ์

 
Leave a comment

Posted by on February 15, 2011 in ธรรมะ

 

Tags: , , , , , , , , , , , , , , ,