RSS

อยากเป็นพระพุทธเจ้า ต้องทำอย่างไร?

07 Feb

เคยได้ยินคนถามครับ ว่า ถ้าอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง ต้องทำอย่างไร?

ก่อนอื่นเราต้องมาทำเข้าใจก่อนครับ ว่าพระพุทธเจ้าคือใคร แล้วทำอย่างไรถึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

****************************************************************************

พระพุทธเจ้าคือใคร

พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เองครับ เราเรียกท่านว่า “พุทธภูมิ”

พุทธภูมิแบ่งออกเป็น 2 ประเภทครับ คือ

  • พระสัมมาสัมพุทธเจ้า – ผู้ที่พ้นทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และ สอนสั่ง ประกาศออกเป็นศาสนา
  • พระปัจเจกพุทธเจ้า – ผู้ที่พ้นทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่ได้สอนสั่ง

เรายังมีอีกคำนึงครับ คือ “สาวกภูมิ” เป็นคำไว้เรียกคนที่เหลือ คนที่ต้องรอคำสอนจากพระพุทธเจ้า ถึงจะพ้นทุกข์ได้

ทีนี้ใครอยากเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องเลือกก่อนครับว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าแบบใหน แต่ในที่นี้ผมขอเล่าถึงเฉพาะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ

****************************************************************************

พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกี่ประเภท

พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีทั้งหมด 3 ประเภทครับ คือ

  • ปัญญาธิกะ – คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “ปัญญา” เป็นตัวนำ
  • ศรัทธาธิกะ -คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “ศรัทธา” เป็นตัวนำ
  • วิริยาธิกะ – คือพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีโดยใช้ “วิริยะ” เป็นตัวนำ

*** พระพุทธเจ้าของเรา ท่านเป็น ปัญญาธิกะ ครับ

ถามว่าแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง …​ หลักๆก็คือ ระยะเวลาในการสั่งสมพระบารมีครับ ผมได้ทำสรุปไว้แล้ว ลองดูได้เลยครับ

อ้างอิงครับ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8630

ผู้ที่กำลังสะสมบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เราจะำเรียกท่านว่า “พระโพธิสัตว์” ครับ

ถามว่า เราสามารถเลือกได้มั้ย ว่าเราอยากเป็นพระพุทธเจ้าแบบใหน … ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ถ้าเข้าใจไม่ผิด เลือกไม่ได้ครับ แล้วแต่จริตของแต่ละท่าน

ทีนี้มีรายละเอียดอยู่นิดหน่อย คือ เราจะสังเกตุเห็นว่า การสะสมบารมีนั้น แบ่งออกเป็น 3 ช่วง

ถ้าท่านผู้ใดถึงช่วงที่ 3 แล้ว คือได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้น จะเที่ยงต่อการได้เป็นพระพุทธเจ้าครับ คือ ต้องได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ต่างจาก2ช่วงแรก ที่ยังมีโอกาสถอดใจ เลิกเป็นพระพุทธเจ้า

เราเีรียกผู้ทีเที่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้าว่า นิยตโพธิสัตว์ ส่วนผู้ที่ยังไม่เที่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้า เราจะเรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ ครับ

ทีนี้ การจะได้รับพุทธทำนายเนี่ย ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับกันง่ายๆนะครับ ในชาติที่จะได้รับพุทธทำนายนั้นต้องมีคุณบัติครบ 8 ประการด้่วย เรียกว่า “อัฏฐธรรมสโมธาน ๘”

  1. มนุสสัตตัง – มีอัตภาพเป็นมนุษย์
  2. ลิงคสัมปัตติ – เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นสตรีหรือบัณเฑาะก์
  3. เหตุ – ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยพร้อมบรรลุมรรคผลได้ในขณะนั้น
  4. สัตถารทัสสนะ – พบพระพุทธเจ้าเฉพาะหน้า
  5. ปัพพัชชา – อยู่ในเพศบรรพชิต
  6. คุณสัมปัตติ – เป็นผู้มีโพธิญาณ คือ อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘
  7. อธิกาโร – มีการกระทำที่ยิ่งใหญ่ แม้ชีวิตของตนก็สละแด่พระโพธิญาณได้
  8. ฉันทตา – เป็นผู้มีจิตรักพระโพธิญาณมั่นคง

อ้างอิงครับ http://board.palungjit.com/f13/อานิสงส์-๑๘-ประการของพระนิยตโพธิสัตว์-155804.html

พอรุ่งอรุณก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เทวดาฝ่ายฟ้อนร่อนรำถวายเป็นพุทธบูชา

****************************************************************************

บารมีที่ต้องสะสม

เราก็รู้แล้วนะครับ ว่า พระพุทธเจ้ามีกี่ประเภท ใช้เวลาสั่งสมพระบารมีนานเท่าไหร่ แต่ว่า บารมีมีอะไรบ้างหล่ะ?

บารมี 10 ประเภทครับ และ แต่ละประเภทเนี่ย ก็แยกย่อยออกเป็น 3 ระดับ การจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องสะสมบารมีทั้ง 10 ให้เต็ม เรามาดูกันครับว่า บารมี 10มีอะไรบ้าง

  1. ทาน (การให้ การเสียสละ)
  2. ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย, ความประพฤติดีงามถูกต้องตามระเบียบวินัย)
  3. เนกขัมมะ (การออกบวช, ความปลีกตัวปลีกใจจากกาม)
  4. ปัญญา (ความรอบรู้, ความหยั่งรู้เหตุผล เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง)
  5. วิริยะ (ความเพียร, ความแกล้วกล้า ไม่เกรงกลัวอุปสรรค พยายามบากบั่นอุตสาหะ ก้าวหน้าเรื่อยไป ไม่ทอดทิ้งธุระหน้าที่)
  6. ขันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใช้สติปัญญาควบคุมตนให้อยู่ในอำนาจเหตุผล และแนวทางความประะพฤติ ที่ตั้งไว้เพื่อจุดหมายอันชอบไม่ลุอำนาจกิเลส)
  7. สัจจะ (ความจริง คือ พูดจริง ทำจริง และจริงใจ)
  8. อธิษฐาน (ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอน และดำเนินตามนั้นแน่นแน่)
  9. เมตตา (ความรักใคร่, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกื้อกูลให้ผู้อื่นและเพื่อนร่วมโลกทั้งปวงมีความสุขความเจริญ)
  10. อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง, ความวางใจสงบราบเรียบสม่ำเสมอ เที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงไปด้วยความยินดียินร้ายหรือชอบฟัง)

อ้างอิงครับ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=325

แล้วบารมี 3 ระดับมีอะไรบ้าง

  1. “บารมี” – ทรงบำเพ็ญเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงทรัพย์สมบัติ  ยศฐาบรรดาศักดิ์  และคนที่พระองค์รัก
  2. “อุปบารมี” – ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงอวัยวะร่างกาย
  3. “ปรมัตถบารมี” – ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ โดยไม่คำนึงถึงชีวิต

อ้างอิงครับ http://www.jariyatam.com/ten-fo-buddha/59-2009-06-21-02-06-12

เราก็จะเห็นนะครับ ว่ามีบารมีที่ต้องสะสมอยู่ 10 ประการ แล้วก็ยังแบ่งออกเป็น 3 ระดับ เราจึงนิยมเรียกว่า บารมี 30

ในประไตรปิฏกมีบันทึกไว้นะครับ ว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านทรงบำเพ็ญบารมีอย่างไรบ้าง เรามักจะเรียกกันว่า พระเจ้า ๓๐ ชาติ ถ้าใครสนใจก็ไปหาซื้อหนังสืออ่านได้ครับ มีคนรวมเล่มออกมาขายมากมาย

ที่มาของรูปครับ  http://palungjit.com/feature/showphoto.php?photo=22662&size=big

****************************************************************************

หวังว่านี้คงพอจะเป็นแนวทางคร่าวๆให้สำหรับท่านที่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้านะครับ

แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าเริ่มต้นยังไงดี ผมก็แนะนำให้หาหนังสือเกี่ยวกับอดีตชาติของพระพุทธเจ้ามาอ่านครับ จะได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านได้ทรงทำอะไรมาบ้างกว่าจะถึงวันนี้ หนังสือที่แนะนำก็เป็นพวก ทศบารมี พระเจ้า๑๐ชาติ พระเจ้า๓๐ชาติ พระเจ้า๕๐๐ชาติ

สุดท้ายนี้ ผมขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ ที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้

****************************************************************************

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

วิธีนับอสงไขย

มาเป็นผู้มีบารมีกันเถอะ

ทำไมพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสัตว์?

 
29 Comments

Posted by on February 7, 2011 in ธรรมะ

 

Tags: , , , , , , , , , , , , ,

29 responses to “อยากเป็นพระพุทธเจ้า ต้องทำอย่างไร?

  1. Trang Suwannasilp

    February 7, 2011 at 00:15

    ยาวนิดนะครับ ผมแค่อยากให้ได้เนื้อหาครบถ้วน
    จริงๆก็ยังไม่ครบทั้งหมดที่อยากจะเล่า แต่แค่นี้ก็คงพอจะได้ใจความสำคัญแล้ว ^ ^”

     
  2. ระพีพัฒน์

    April 24, 2011 at 11:39

    ขอขอบพระคุณมากที่กรุณาแบ่งปั้นความรู้ การที่บุคคลใดจะอธิฐานจิตเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้านั้นในใจของคนๆนั้นจะอยู่เองในเวลาที่มาถึง แล้วเขาก็จะปฏิบัติตนเพื่อผลนั้นในทุกๆการดำเนินชีวิต เพื่อสะสมบุญบารมีไปเรื่อยๆในแต่ละชาติ คนที่ตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้านั้นเขาไม่ใจร้อนเพราะมีเวลาสร้างบามีอีกนานแสนนาน และจะมีเมตตากับคนทุกคนเพื่อให้ทุกคนพ้นทุกข์

     
    • Trang Suwannasilp

      June 8, 2011 at 00:04

      ยินดีทีได้รู้จักนะครับคุณระพีพัฒน์

      ว่าจะทักทายหลายทีแล้วแต่ก็ลืม ขออภัยด้วยนะครับ ^ ^”

       
  3. ธนภูมิ

    June 2, 2011 at 12:36

    ขอบคุณมากครับ ถ้าเป็นไปได้ผมมีความประสงค์ในการสนทนาธรรมกับท่านผู้รู้ ผู้ศึกษา เพื่อให้ผมได้้เข้าใจถึงหลักธรรมแห่ง สัมมาทิฎฐิ ครับ รบกวนผู้รู้ชี้แนะและไขข้อข้องใจ ผ่านทาง อีเมล์ Bejitajakun@hotmail.com ครับ ขอบคุณมากครับ

     
  4. Trang Suwannasilp

    June 7, 2011 at 23:45

    ขอบพระคุณคุณธนภูมิมากนะครับ ที่เข้ามาเยี่ยมชม
    ขอโทษด้วยนะครับ ที่ตอบช้า บังเอิญผมไม่ได้อยู่หน้าคอมหลายวัน

    ผมไม่ใช่ผู้รู้อะไรหรอกครับ เป็นแค่ชอบศึกษาคนหนึ่ง
    จริงๆแล้ว ถ้าสนใจเราก็เข้ามาคุยกันได้ใน Blog นี้เลยครับ เพื่อนๆคนอื่นจะได้เข้ามาอ่านด้วย ^ ^

     
  5. ธนภูมิ

    June 8, 2011 at 00:29

    ทำเว็บได้สวยมากครับ หลายๆอย่างในนี้ก็มีข้อมูลดีๆทั้งนั้น
    ผมมีความประสงค์อยากจะเผยแพร่ธรรมมะของพระพุทธองค์เช่นกันครับ
    แต่ทั้งนี้ การที่เราจะให้ผู้อื่นรู้ถึงธรรมมะและตอบข้อสงสัยได้นั้น
    เราจักต้องเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง(ตามระดับสติปัญญาของเราจะเอื้ออำนวยถึง)
    เพื่อที่จะบอกกล่าวและอธิบายถึงธรรมมะ ตามแต่สติปัญญาของแต่ละคนจะเข้าใจ
    เพื่อให้สังคมที่ดีกว่า ให้พ้นจากทุกข์ ให้คนที่ลุ่มหลงมัวเมา ได้เห็นถึงความจริง
    ให้คนดีมีชีิวิตที่ดีกว่าเิดิม ใ้ห้ั่ชั่วทำเลวน้อยลง ให้กฏแห่งกรรม(ชั่ว)ทำงานน้อยลง
    และขอให้พุทธศาสนาของพระพุทธองค์ยังคงอยู่คู่กับโลกใบนี้ไปอีกนานเท่านาน

    สำหรับคำถามที่ผมข้องใจนั้นมีนานับประการ อาจจะไม่ได้เรียบเรียง และอาจจะเข้าใจ
    ผิดพลาดจากความเป็นจริง ยังไงก็รบกวนชี้แนะด้วยครับ
    1.จริงหรือไม่ ที่พระพุทธเจ้านั้นเป็น ร่างอวตารของพระนารายณ์
    2.ศาสนา พราหมณ์ นั้นเ้กิดก่อนศาสนาพุทธ ทั้งสองเกี่ยวข้องกันโดยตรงและโดยอ้อมอย่างไร(เพราะจากที่ผมอ่านมาคร่าวๆ เหมือนกับว่า ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นก่อน และกล่าวไว้ถึงการสร้างโลก และการเกิดของสรรพสิ่งหลายๆอย่าง แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเองก็ถูกทำนายโดยพราหมณ์ นั่นแปลว่าศาสตร์นี้ มีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง)
    3.ทำไมสภาวะจิตใจของคน ถึงรับสิ่งเร้าที่เป็นเรื่องลบได้ง่ายกว่า ทำไมถึงไม่สามารถรับรู้สิ่งดีได้ง่ายกว่า เมื่อเป็นแบบนี้เท่ากับว่า จิตใจของคนเรา(รวมถึงทุกชั้นภพภูมิ)มีแต่ จะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เพราะกฏแห่งกรรม ค่อนข้างจะสนับสนุน กรรมที่ไม่ดี คือเมื่อทำกรรมไม่ดีแล้ว กรรมนั้นคืนสนองค่อนข้างแรง แ่ต่ในขณะที่ทำกรรมดี กรรมนั้นกลับให้ผลที่ไม่มาก ผมเืีทียบเป็นสมการเรื่องเนื้อนาบุญและตัวคูณดังนี้
    [คนธรรมดา ->อริยบุคคล](ตัวตั้ง) คูณกับ [วัตถุสิ่งของ ->พระพุทธองค์] = กฏแห่งกรรม
    เช่น คนเลวทำดีกับตุ๊กแก ก็ได้บุญน้อยมาก จนแทบไม่เห็น
    พระสงฆ์ทำดีกับตุ๊กแก ได้บุญเยอะมาก
    พระอริยบุคคล ทำดีกับ สามัญชนที่บรรลุโสดาบรร บุญเยอะมากมาย
    คนธรรมดา ถวายอาหารแก่พระพุทธองค์ ได้บุญเหลือคณานับ
    คนเลวทำเลวกับ พระสงฆ์ บาปนั้นมากกว่าคนธรรมดาทำมากมาย
    นั่นก็คือ คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนไม่ดี เวลาทำดีก็ได้บุญนิดเดียว ตายไปก็เกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่า แล้วก็วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ โอกาสที่เค้าเหล่านั้นจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากนั้นคือเมื่อใด แล้วแม้แต่ภพภูมิที่สูงกว่า เช่นเทวดา พรหม นั้นก็ยังเสพกามกันอยู่ แบบนั้นจะเรียกว่าความสุขหรือความหลุดพ้น(ที่ใกล้เคียงพระนิพพาน)ได้งั้นหรือ

    อีกหลายคำถามครับ อาจจะมั่วๆไปนิด เพราะว่าผมสื่อสารด้วยการพิมพ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก

     
  6. Trang Suwannasilp

    June 8, 2011 at 00:32

    คำถามน่าสนใจมากครับ เดี๋ยวผมจะทะยอยเรียบเรียงตอบให้นะครับ

     
  7. ธนภูมิ

    June 8, 2011 at 00:51

    ขอถามเกี่ยวกับพระพุทธองค์หน่อยครับ ข้อนี้สงสัยมานาน
    1.คือ ในระหว่างที่บำเพ็ญเพียรนั้น พระพุทธเจ้าเคยออกบวช จนถึงขั้นเป็น
    พระอรหันต์ไหมครับ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะไม่กลับมาเกิดอีก
    แล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ยังไงครับ
    แล้วถ้าไม่เคย ก็แปลว่ายังไม่รู้หลักกฏแห่งกรรม
    แปลว่าต้องเคยทำชั่วแล้วก็ต้องไปเกิดใน อบายภูมิ (ผมหมายถึง
    พระพุทธองค์ท่านได้อยู่มาแล้วทั้ง 31 ภพภูมิหรือป่าวครับ) ถ้าเป็นแบบนั้น
    แปลว่าท่านเองก็เคยทำผิด ทำบาปมาเช่นกันใช่ไหมครับ

    2.เหมือนกับว่าการจะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องเป็นพระโพธิสัตย์ก่อนใช่ไหมครับ
    งั้นแปลว่า ถ้าคนธรรมดาอยากเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องบำเพ็ญเพียร ทำความดี
    ให้ตรงกับ สวรรค์ชั้นที่พระโพธิสัตย์อยู่ ถ้าทำดีเกินนั้นหรือต่ำกว่านั้น(ต่ำกว่าไม่เป็นไร
    เพราะสามารถขยับขึ้นได้ แต่ถ้าสูงกว่าจะลงมายังไงครับ)

    3.ธรรมมะของพระพุทธเ้จ้า แต่ละองค์นั้นเหมือนหรือว่าต่างกันครับ
    เมื่อความจริงมีหนึ่งเดียว คำสอนก็น่าจะเหมือนๆกัน ที่ผมสงสัยก็คือ
    สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ท่านคิดได้ด้วยตัวท่านเอง
    หรือว่า ถ้านั้นสามารถใช้จิตย้อนรอยไปตั้งแต่เกิดสรรพสิ่งมา แล้วเห็นถึงธรรมมะเหล่านั้น
    ที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆได้กล่าวมา แล้วสรุปในรูปแบบของ ธรรมมะในแบบฉบับของ
    พระสมณโคดม (ปล่าวมีเจตนาให้ร้ายพระพุทธองค์ไม่ แต่ความสงสัยในมีอยุ่ในใจ
    สร้างความสงสัยทำให้ บางเวลา ความสงสัยไปรบกวนสมาธิ)

    รบกวนตอบด้วยครับ

     
  8. Trang Suwannasilp

    June 8, 2011 at 20:59

    ขอตอบเรื่องศาสนาพราหมณ์ก่อนนะครับ

    ศาสนาพราหมณ์มีมาก่อนศาสนาพุทธครับ ความเชื่อหลักๆคือ หลักวรรณะ นับถือพระพรหม การบูชาเทพเจ้าโดยการบูชายัญ (ฆ่าสัตว์) หรือไม่ก็ืคือการฝึกสมาธิจนได้ณาน มีฤทธิ์ต่างๆนานา

    พวกพราหมณ์นี้ ไม่มีวัด … ไม่มีนักบวช (พราหมณ์เป็นวรรณะ เกิดมาแล้วเป็นเลย) … ไม่มีหลักคำสอนจริยธรรม แต่มีแนวปฏิบัติ เช่น บูชายัญบ้าง บูชาไฟบ้าง

    เมื่อพระุพุทธเจ้าท่านประกาศศาสนา ท่านก็สอนสัมมาทิฐิ และ มุมมองที่ถูกต้องให้กับประชาชน และก็เกิดเป็นศาสนาพุทธขึ้นมา

    ตอนนี้กษัตริย์ต่างๆเริ่มหันมานับถือพุทธ …. ศาสนาพรหมณ์ก็เสื่อมถอยครับ … และต่อมาอีกหลายร้อยปีศาสนาพราหมณ์ก็มีการปรับตัว โดยเอาหลักของพุทธไปใช้ เช่นว่า มีหลักจริยธรรม มีนักบวช มีวัดเป็นของตัวเอง

    การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของพราหมณ์คือ ได้มีเทพองค์สำคัญเพิ่มขึ้น อีก2องค์ คือ พระนารายณ์ กับ พระศิวะ และ เริ่มลดความสำัคัญของพระพรหมลงครับ

    ศาสนาพราหมณ์แบบพัฒนาแล้ว ได้ถูกเรียกว่า “ศาสนาฮินดู”

    คำภีร์ของฮินดูที่สำคัญๆ เช่น มหาภารตยุทธ หรือ รามเกียรติ์ ก็แต่งขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว

    ทีนี้นักบวชฮินดูก็ต้องการดึงดูดผู้คนครับ เค้าเลยมีตำนานเพิ่มขึ้นมาเช่นว่า พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง …. โดยเรื่องเต็มๆ (ผมจำละเอียดๆไม่ได้นักนะครับ) ก็คือ พระนารายณ์อวตารลงมาเป้นพระพุทธเจ้าเพื่อกำจัดมาร มารคือใคร? มารก็คือคนที่ไม่เชื่อในคำภีร์พระเวทนั้นเองครับ เพื่อให้คนเหล่านี้มารวมกันจะได้กำจัดใ้ห้สิ้นในทีเดียว

    สรุปคือ ถ้าเรียงตามลำดับการเกิดของแต่ละศาสนา จะเป็นแบบนี้ พราหมณ์ > พุทธ > ฮินดู

    นั่นคือเป็นคำอธิบายว่า ทำไมในพระไตรปิฏกถึงไม่ได้มีการกล่าวถึงพระนารายณ์ หรือ พระศิวะเลย … เพราะยังไม่มีความเชื่อเรื่องเทพทั้งสองท่านนี้ครับ

    เรื่องพระนารายณ์อวตารมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยเป็นเรื่องแต่งขึ้นภายหลังครับ

     
  9. Trang Suwannasilp

    June 8, 2011 at 21:00

    ว่าจะตอบสั้นๆ กลายเป็นยาวซะงั้น ^ ^”

     
  10. Trang Suwannasilp

    June 8, 2011 at 21:01

    เรื่องที่พระพุทธเจ้าถูกพราหมณ์ทำนายตอนพระองค์เกิดใหม่ๆนั้น จริงๆแล้วพราหมณ์ใช้หลักโหราศาสตร์มาทายครับ … ไม่ได้เกี่ยวกับหลักศาสนาพราหมณ์อย่างใด

     
  11. Trang Suwannasilp

    June 8, 2011 at 21:08

    ส่วนคำถามเรื่องกฏแห่งกรรมเนี่ย … เล่าแล้วยาวครับ เดี๋ยวผมว่าผมจะเขียนBLOGใหม่ตอบเลยดีกว่า เพราะพระพุทธเจ้า ท่านได้แจกแจงไว้ได้ละเอียดครับ

    แต่สรุปหลักการคือ

    บุญมากน้อย ขึ้นอยุ่กับ
    1 “สิ่งที่ได้ทำ” … ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับศีลของคนทำ …. คนเลวๆฆ่าพ่อตัวเอง กับ คนดีๆที่ไปฆ่าพ่อตัวเอง ก็ตกนรกขุมเดียวกัน
    2 “ผู้ถูกรับการกระทำ” …. ทำบุญกับคนเลวๆ ได้บุญน้อยกว่า ทำบุญแบบเดียวกันกับพระสงฆ์ดีๆ

    นั่นคือ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะลืมตาอ้าปากได้ครับ เพียงเค้า”ทำ”สิ่งดีๆ

     
  12. Trang Suwannasilp

    June 8, 2011 at 21:30

    ขอตอบคำถามเรื่องพระพุทธเจ้านะครับ … เล่าแล้วยาวอีกเหมือนกัน ผมจะพยายามย่อความนะครับ

    พระพุทธเจ้าในช่วงที่ท่านยังบำเพ็ญบารมี เราจะเรียกท่านว่า “พระโพธิสัตว์” โดยแบ่งออกเป็นสองประเภท

    – นิยตโพธิสัตว์ … พระโพธิสัตว์แบบนี้ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าชัวร์ๆครับ ในอนาคต

    – อนิยตโพธิสัตว์ ครับ … พระโพธิสัตว์แบบนี้ ยังไม่ชัวร์ครับ ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้ามั้ย ท่านอาจจะถอนใจไปก่อนก็ได้ ซึ่งถ้าท่านบำเพ็ญบารมีมากพอ ท่านก็จะได้ขยับเป็น “นิยตโพธิสัตว์”

    นิยตโพธิสัตว์ (จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ๆ) นั้น ตามพระไตรปิฏกบอกไว้ว่า ท่านเป็นคนดีมาก และจะไม่ทำชั่วจนต้องตกต่ำถึงขั้นลงนรก แต่ผมจำรายละเอียดไม่ได้แน่ๆว่า ภพภูิิมิใหนบ้างที่ท่านจะไม่ต้องไปเกิด (คือท่านเป็นคนดีมากๆครับ) อันนี้ถ้ามีเวลาขอลองไปค้นดูครับ

    พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ต่างเคยออกบวชมาแล้วครับ ในชาิติต่างๆ แต่ท่านก็ไม่บรรลุธรรม แม้แต่ขั้นต้นระดับโสดาบัน

    การเป็นพระโพธิสัตว์ อยู่ที่การบำเพ็ญบารมีครับ ไม่เกี่ยวว่าจะต้องทำให้ตรงกับชั้นที่พระโพธิสัตว์อยู่ … คนจะเป็นพระพุทธเจ้า เค้าไม่สนใจหรอกครับว่า ตัวเองจะต้องอยู่สวรรค์ชั้นใหน เค้าสนใจแต่การทำความดีสร้างบารมี บางชาิติ พระพุทธเจ้าก็เคยเกิดเป้นสัตว์เช่นกระต่าย ท่านก็ยังสร้างบารมีได้

    เรื่องสวรรค์ของพระโพธิสัตว์ เป็นเพียงผลพลอยได้ จากการทำดีครับ

    ส่วนเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสรุ้ในสิ่งเดียวกัน สอนในสิ่งเดียวกันครับ เรื่องนี้พระไตรปิฏกมีกล่าวไว้ชัดครับ พระพุทธเจ้าของเราท่านกล่าวไว้เองเลย ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เป็นเรื่องเดียวกัน

    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ทรงค้นพบธรรมะด้วยพระองค์เอง … คำถาม ท่านจะย้อนอดีตไปสรุปความจากสิ่งที่สิ่งที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆสอนไว้ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ … ถ้าจะถามว่าทำไม อันนี้ผมตอบไม่ได้เหมือนกันครับ มันคงเป็นคำถามโลกแตก คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆครับ

     
  13. ธนภูมิ

    June 9, 2011 at 00:48

    ขอบคุณที่ตอบมากครับ ผมหายข้องใจไปหลายข้อเลย
    ฟังแล้วยิ่งรู้สึกแย่กับศาสนาอื่นๆไงไม่รุ

    ขอรบกวนถามต่อนะครับ
    1.ถ้ายังงั้นแปลว่าหลักโหราศาสตร์มีจริงใช่มั้ยครับ

    2.ในเรื่องของบาปมากบุญมากนั้น ในส่วนของ สิ่งที่ได้ทำลงไปนั้น ไม่ได้อยู่ี่ที่เจตนาหรือครับ
    เช่น คนเลวฆ่าเพื่อนเพราะความโลภ อยากได้สมบัติ,แย่งแฟน(คนที่ตายคือเพื่อน มีหน่วยความดีเท่ากับ 10)
    กับ คนดีฆ่าเพื่อเพราะถูกบังคับให้เลือกระหว่างต้องฆ่าคนในครอบครัวหรือเพื่อนคนนั้น(ความดีเท่ากับ 10 เช่นกัน) หรือ คนดีฆ่าเพื่อนเพื่อความอยู่รอดเช่น ถ้าไม่ฆ่าก็จะโดนฆ่า แบบในหนัง Saw แบบนี้ถ้าตกนรกขุมเดียวกัน มันก็เหมือนไม่แฟร์ซิครับ คือผมหมายถึง สิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นให้ผลเท่ากันยังงั้นเหรอครับ ถ้าจะเปรียบเทียบในทางธรรมก็คือ นักปฏิบัตธรรมขั้นจุลโสดาบัน ปฏิบัติ 1 อาทิตย์ เท่ากับ คนคุกปฏิบัติธรรม 1 อาทิตย์ ผลบุญที่ออกมานั้นเท่ากันยังงั้นหรือครับ (ผมกำลังเทียบคล้ายๆกับ คนโง่กับคนฉลาดอ่านหนังสือ เพราะทำสิ่งเดียวกัน แต่ตัวแปรต้นบางอย่างไม่เหมือนกันอ่ะครับ)

    3.ในส่วนของคำถามที่ว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้สิ่งเดียวกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อน นั้นเป็นเรื่องเดียวกันนั้นไม่แปลก เพราะความจริงย่อมมีอยุ่หนึ่งเดียว ที่ผมสงสัยคือรูปแบบในการอธิบายธรรมมะที่พระพุทธองค์หรือพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆค้นพบ เพราะพระพุทธเจ้านั้นมี 3 แบบ คือ ศรัทธาธิกะ ปัญญาธิกะ และ วิริยะธิกะ รูปแบบการอธิบายหรือการค้นพบจะเหมือนกันยังงั้นหรือครับ

    4.ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเค้าบอกว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าของเราก็เคยเกิดไปนรกและถูกคนลงทัณฑ์นั้นแทงอกตาย นั่นแสดงว่า ท่านก็เคยทำผิดเหมือนอย่างปถุชนใช่หรือป่าวครับ (จากหนังสือเข็มทิศชีวิตนะครับ)

    5.ในส่วนคำถามเกี่ยวกับการสั่งสมบารมีเป็นพระพุทธเจ้านั้น คำว่าพระโพธิสัตย์นั้น หมายถึง เพียงแค่ใจคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า(หมายถึงมีเจตจำนงค์ตั้งมั่น) ก็ถือว่าเริ่มเป็นพระโพธิสัตย์ยังงั้นหรือครับ หรือว่า ต้องสั่งสมบารมีจนไปเป็นพระโพธิสัตย์ก่อน แล้วก็ค่อยมีเจตจำนงค์เป็นพระพุทธเจ้าครับ (หมายเหตุ ผมไม่ได้สนใจเรื่องสวรรค์ชั้นไหน เพียงแต่อยากทราบถึงคำนิยามว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนมากจาก การบำเพ็ญบารมีจากการเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน ตรงส่วนนี้แหละครับที่ผมยังสงสัยอยู่ครับ)

    6.ปัจเจกพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ก็แทบไม่ต่างกันซิครับแบบนั้น เพราะต่างก็บรรลุเหมือนกัน เพียงแต่คนหนึ่งคิดได้ด้วยตนเองอีกคนหนึ่งคิดได้จากการถูกสอน

    7.ทำไมพระปัจเจกพุทธเ้จ้าถึงไม่ประกาศคำสอนของตนให้เป็นศาสนาเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ

    คงไม่เยอะเกินนะครับ
    ขอบคุณมากครับ

     
  14. Trang Suwannasilp

    June 9, 2011 at 11:00

    ถูกต้องแล้วครับ บาปบุญต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก ผมเขียนตอบคุณไปไม่ครอบคลุมเอง 

    แต่การจะให้ตีออกมาเป็นค่าชัดๆ ว่า แบบใหนได้บุญมากกว่าแบบใหนอยู่เท่าไหร่ คงยากหล่ะครับ หน้าที่ของพวกเรา คงควรจะมาศึกษากันว่า อะำไรเรียกดี อะไรเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ

    ส่วนเรื่องโหราศาสตร์ … วิชชาพวกนี้คงจะมีจริงหล่ะครับ มันเป็น”หลักสถิติ” ประมาณว่าตามสถิติแล้ว เมื่อดาวขยับแบบนี้ จะเกิดผลต่อเราแบบใหน … ส่วนความแม่นยำเนี่ย ผมไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะขึ้นอยู่กับคนทายด้วย

    โหราศาสตร์ เป็นการใช้หลักสถิติ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า เพราะเหตุใด ดาวจึงมีผลต่อคนเรา (มันอาจจะมีผลจริงๆก็ได้ครับ แต่อธิบายชัดๆไม่ได้)

    เรื่องโหราศาสตร์นี้ก็รู้ไว้พอสนุกๆได้ครับ ไม่ต้องซีเรียสมาก เพราะ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้ ท่านถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชชา

    เดี๋ยวข้ออื่นๆจะค่อยๆมาตอบนะครับ 

     
  15. ธนภูมิ

    June 9, 2011 at 12:28

    ครับขอบคุณมากครับ หากพระพุืทธองค์ตรัสไว้ยังไง ผมก็เชื่อและปฏิบัติตามนั้นครับ

     
  16. Trang Suwannasilp

    June 17, 2011 at 01:28

    ขอตอบคำถามต่อเลยนะครับ (มีค้างหลายข้อ ^ ^)

    2) เรื่องผลบุญ เรื่องผลกรรมเนี่ย มันซับซ้อนเกินกว่าปัญญาของผมครับ ผมก็จนปัญญาที่จะตอบคุณเหมือนกันครับ

    ในพระไตรปิฏก ก็มีเรื่องเล่าถึงบางท่านที่ำชาตินี้ทำกรรมมาเยอะๆแต่ก็บรรลุจนได้ เช่น พระองคุลิมาลฆ่าคนมาแล้ว 999 คนก็ยังปฏิบัติจนบรรลุอรหันต์ได้ เพชรฆาตเคราแดงทำหน้าที่ตัดหัวโจรมาจนแก่ ฟังธรรมจากพระสารีบุตรก็ได้โสดา อำมาตย์ของพระเจ้าพิมพิสารกินเหล้าเมาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ก็ได้ฟังธรรมและบรรลุอรหันต์ ส่วนพระอานนท์อยุ่ข้างกายพระพุทธเจ้าตลอดเวลา กลับบรรลุธรรมหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว

    ผมเลยว่า เรื่องคนคุกปฏิบัติธรรมแล้ว จะได้บุญน้อยกว่า จุลโสดา ก็อาจจะไม่แน่ครับ (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเองผมเองนะครับ)

    3) พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ค้นพบธรรมะอันเดียวกัน แต่ผมไม่ทราบเหมือนกันครับว่า พระพุทธเจ้าแ่ต่ละประเภทนั้น มีสไตล์การสอนต่างกันมั้ย แต่ผมเคยได้ยินมาว่า พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีวิธีการสอนแตกต่างจากพระพุทธเจ้าของเรา (ผมจำพระนามไม่ได้แล้วครับว่า พระองค์ใหน) แต่ว่าสอนต่างกันยังไงเนี่ย ผมก็จำแน่ๆไมได้เหมือนกันครับ เลยไม่อยากบอกผิดๆไปให้คุณ

    4) หนังสือเดี๋ยวนี้ต้องอ่าน และ ต้องไปเทียบเคียงข้อมูลจากแหล่งอื่นด้วยครับ เพื่อป้องกันข้อมูลผิดพลาด
    ตัวผมเองเนี่ย เท่าที่อ่านมา ไม่เคยอ่าจเจอว่าพระพุทธเจ้าตกนรกนะครับ (อันนี้ตอนหลังจากที่ท่านเป็นนิยตโพธิสัตว์ – แต่ผมอาจจะยังอ่านไม่หมดก็ได้นะครับ)

    พระนิยตโพธิสัตว์ ท่านจะไม่เกิดในฐานะ ๑๘ ประการอีกเลยครับ คือ
    ๑. ไม่เป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
    ๒. ไม่เป็นคนหูหนวกมาแต่กำเนิด
    ๓. ไม่เป็นคนบ้า
    ๔. ไม่เป็นคนใบ้
    ๕. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
    ๖. ไม่เกิดในประเทศป่าเถื่อนดุร้าย
    ๗. ไม่เกิดในท้องนางทาสี
    ๘. ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
    ๙. ไม่เป็นสตรีเพศ
    ๑๐. ไม่ประกอบกรรมอันเป็นอนันตริยกรรม
    ๑๑. ไม่เป็นคนมีโรคเรื้อน
    ๑๒. ไม่เกิดมามีกายเล็กกว่านกกระจาบ และไม่ใหญ่กว่าช้าง
    ๑๓. ไม่เกิดเป็นขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรต กาลกัญจิกาสุรกาย
    ๑๔. ไม่เกิดในอเวจีนรก และโลกันตนรก
    ๑๕. เมื่อเกิดในกามาพจรสวรรค์ จะไม่เกิดในเทวดาหมู่มาร
    ๑๖. ไม่เกิดในปัญจสุทธวาสพรหมโลก ซึ่งเป็นพรหมโลกสำหรับพระอนาคามี
    ๑๗. ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก
    ๑๘. ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่น

    5) ใช่แล้วครับ ตามคำสอนของเถรวาทเรานะครับ เพียงเริ่มคิดในใจ ก็ถือว่าเป็น พระโพธิสัตว์ แล้ว เพียงแต่ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังล้มเลิกความตั้งใจได้ … ต้องสะสมบารมีต่างๆอีกเยอะครับ กว่าจะเป็นนิยตโพธิสัตว์ ผู้ที่เที่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้า

    6) จะมองว่าแทบไม่ต่างกันเลยก็ถูกครับ เพราะท่านไม่ได้ประกาศศาสนาเหมือนกัน แต่จะบอกว่า ต่างกันสุดๆก็ได้ เพราะว่า ท่านนึงค้นพบด้วยตนเอง ในขณะที่อีกท่านต้องรอผู้รู้มาสอน ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาเมืื่อไหร่

    7) บารมีของพระปัจเจกพระพุทธไม่พอที่จะสั่งสอนครับ พระปัจเจกนั้นใช้เวลาสั่งสมบารมีเท่ากับ ๒อสงไขยแสนกัป … เรียกได้ว่าน้อยกว่าพระพุทธเจ้าของเราครึ่งๆเลยทีเดียวครับ

    ถามว่า ถ้าสะสมบารมีเพื่อเป็นปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ทำไมไม่สั่งสมให้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเลย อันนี้คงเป้นเรื่องส่วนบุคคลหล่ะครับ เหมือนกับที่ผมอยากได้โสดาก็ดีใจแล้ว อย่าพูดถึงอรหันต์ หรือกระทั่งการเป็นพระพุทธเจ้า

     
  17. ธนภูมิ

    June 17, 2011 at 22:27

    ขอบคุณมากครับ ที่ตอบผมหมดทุกข้อ ทำให้ผมหายความสงสัยและสร้างความกระจ่างชัดขึ้นมามากเลยครับ หลายวันมานี้ผมนั่งอ่านบล๊อกที่คุณตรังทำไว้ ผมประทับใจ ตอนที่พระพุทธองค์ทรงไปแสดงธรรมให้กับยักษ์ อฬวก มากเลยครับ

    ขอถามในส่วนของข้อ 4 อีกนิดนะครับ เกี่ยวกับที่ว่า พระพุทธองค์เคยไปเกิดเป็นนกเป็นกระต่าย แล้วสั่งสมบารมีนี่ ผมงง ตรงที่ว่า สัตว์เหล่านี้ เราถือว่าเป็นเดียรฉานไม่ใช่หรือครับ (หรืออาจต้องไปเทียบกับพระไตรปิฏกอีกทีหนึ่ง)

    8.แล้ว จากบล๊อกที่คุณตรังทำนะครับ คือในส่วนของ เรื่อง กัลยามิตร ที่พระพุทธองค์ได้กล่าวกับสาวกองค์หนึ่งว่า กัลยามิตรนั้นสำคัญมาก คือตัวพระพุทธองค์เอง เคยได้กล่าวกับเพื่อนที่จะชวนไปฟังธรรม กับพระพุทธเจ้า กัสสปะ ที่ว่า “ไปฟังสมณะโล้น นั่นเหรอ ไม่ไปหรอก ไปเที่ยวสนุกกว่า” แล้วสุดท้ายก็ออกบวชหลังจากได้ฟังธรรม ในส่วนตรงนี้ ขอถาม สามข้อนะครับ
    8.1 พระโพธิสัตว์(พระพุทธเจ้าของเรา) ได้กล่าววาจา อันเป็น วจีกรรม กับบุคคลอันเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า แบบนี้ ไม่ถือเป็นกรรมหนักหรือครับ (ทั้งๆที่ตนนั้นกำลังบำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์)
    8.2 หลังจากออกผนวชไปแล้วนั้น ชายผู้นั้นเค้าบรรลุธรรมขั้นไหนครับ
    8.3 ต่อจาก 8.2 (ผมยังคงสงสัยเกี่ยวกับ ข้อที่ว่า ในระหว่างที่กำลังบำเพ็ญเพียร จาก อนิตยโพธิสัตว์ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่บรรลุแม้ขั้นโสดาบัน) และผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเค้าบอกว่า อนาคามีนั้น แม้แต่ คฤหัสถ์ นั้นก็สามารถบรรลุธรรมนั้นได้ ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่า พระโพธิสัตว์ที่เกิดเป็น บรรพชิต ก็จะไม่บรรลุธรรมขั้นที่สูงกว่าโสดาบันหรือเท่ากับ เพราะถ้าบรรลุโสดาบัน จะเกิดอีกเพียง 7 ชาติ และหากเกิดบรรลุเป็นพระอรหันต์ อนิตยโพธิสัตว์นั้น ก็จะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป (หาใช่เพราะเจตจำนงค์ไม่ตั้งมั่นมิได้ แต่เป็นเพราะ เข้าไปสู่ระบบของการดับของจิต(นิพพาน)) ใช่หรือป่าวครับ

     
  18. Trang Suwannasilp

    June 28, 2011 at 21:01

    ขอตอบคำถามนะครับ

    นิยตโพธิสัตว์ สามารถเกิดเป็นสัตว์ได้ครับ ตามพระไตรปิฏกพระพุทธเจ้าของเราท่านเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหลายครั้งครับ เช่นว่า กระต่าย นกแขกเต้า ปลาดุก พญานาค (นาคก็ถือว่าเป็นเดรัจฉานครับ)

    8.1 เรื่องเป็นกรรมนี้ คงเป็นกรรมบ้างหล่ะครับ แต่ไม่ถึงกับเป็นอนันตริยกรรม … เรื่องนี้ต้องเข้าใจครับว่าพระโพธิสัตว์ท่านก็ยังทำกรรมได้ เพียงแต่ว่า นิยตโพธิสัตว์ ท่านจะไม่ทำอนันตริยกรรม

    8.2 หลังออกบวชไปแล้ว ท่านไม่ได้บรรลุธรรมขั้นใดครับ

    8.3 จริงๆแล้วคฤหัสสามารถบรรลุธรรมได้ถึงขั้นอรหันต์เลยครับ ต่ออย่างสำคัญคือ พระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดาของพระพุทธเจ้า ท่านได้บรรลุอรหันต์ก่อนที่จะสวรรคต หรือ พระพาหิยะ ที่บรรลุอรหันต์จากการฟังธรรมครั้งเดียว ตั้งแต่ขณะที่ยังไม่ได้บวช

    ส่วนท่านที่เป็นอนิตยโพธิสัตว์ ท่านยังไม่เที่่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้า ท่านสามารถถอดใจได้ครับ เค้าเรียกกันว่า “ละพุทธภูมิ” คือว่า ถ้าท่านเห็นว่า หนทางอีกยาวไกล ยากลำบาก ท่านก็อาจจะล้มเลิกความตั้งใจได้ และ ท่านก็สามารถมาตั้งใจปฏิบัติธรรมจนบรรลุถึงอรหันต์ได้เลยครับ

    ส่วนนิยตโพธิสัตว์เนี่ย ท่านเที่ยงต่อการเป็นพระพุทธเจ้าแ้ล้วครับ ท่านไม่ถอดใจแล้วครับ ดังนั้น ต่อให้ท่านบวช ท่านก็จะไม่บรรลุธรรมขั้นใดๆเลยครับ รอเวลาสั่งสมบารมีจนครบเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า

     
  19. Trang Suwannasilp

    June 28, 2011 at 21:48

    ผมได้เขียนบล๊อกตอนใหม่เกี่ยวกับ อานิสงค์ของการเป็นพระนิยตโพธิสัตว์ ครับ ลองเข้าไปอ่านดูได้นะครับ ^ ^

    ทำไมพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นสัตว์?

     
  20. ธนภูมิ

    June 29, 2011 at 23:00

    ขอบคุณมากครับ ได้ฟังคำตอบแล้วหายสงสัยไปมากๆเลยครับ

     
  21. Anonymous

    August 9, 2012 at 15:11

    ดีจังเลยครับ ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ

     
  22. DrRonEnv

    September 26, 2012 at 19:07

    >พระโพธิสัตว์(พระพุทธเจ้าของเรา) ได้กล่าววาจา อันเป็น วจีกรรม กับบุคคลอันเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า แบบนี้ ไม่ถือเป็นกรรมหนักหรือครับ (ทั้งๆที่ตนนั้นกำลังบำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์)

    นี่คือความน่ากลัวของสังสารวัฏ ก็ขนาดบำเพ็ญบารมีมา 20 อสงไขยกับ 100,000 มหากัป ยังพลาดพลั้งได้เลย (อวิชชามันบังไว้)
    ในชาตินั้นพระพุทธเจ้าเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ โชติปาละ เพื่อนชื่อฆฏิการะ (เป็นพระอนาคามี) ชวนไปฟังธรรม ก็ยังไม่ไป พอโดนตื้อมากเข้า ก็ยอมไป ทีนี้พอเจอพระกัสสปพุทธเจ้าก็ไปกล่าวว่า “การตรัสรู้เป็นของยาก ท่านไปตรัสรู้ที่โคนไม้ต้นไหนกัน” และกรรมนี้ก็ส่งผลให้พอมาเกิดชาติสุดท้ายที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องหลงทาง ลองผิดลองถูก กระทั่ง อดอาหาร ทรมาน ร่างกายตนเอง จนปางตาย กินเวลานานกว่าพระพุทธทุกพระองค์ที่เคยบันทึกในพระไตรปิฎก องค์อื่นใช้เวลา 7 เดือนบ้าง 7 วันบ้าง พระโคดมพุทธเจ้าใช้เวลาถึง 6 ปี!!!!

    หลังจากออกผนวชไปแล้วนั้น ชายผู้นั้นเค้าบรรลุธรรมขั้นไหนครับ
    > ไม่ได้บรรลุธรรม (อาจจะได้เพียงฌานสมาบัติ) แต่ได้รับการพยากรณ์จากพระกัสสปพุทธเจ้าว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

    >8.3 ต่อจาก 8.2 (ผมยังคงสงสัยเกี่ยวกับ ข้อที่ว่า ในระหว่างที่กำลังบำเพ็ญเพียร จาก อนิตยโพธิสัตว์ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่บรรลุแม้ขั้นโสดาบัน) และผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเค้าบอกว่า อนาคามีนั้น แม้แต่ คฤหัสถ์ นั้นก็สามารถบรรลุธรรมนั้นได้ ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่า พระโพธิสัตว์ที่เกิดเป็น บรรพชิต ก็จะไม่บรรลุธรรมขั้นที่สูงกว่าโสดาบันหรือเท่ากับ เพราะถ้าบรรลุโสดาบัน จะเกิดอีกเพียง 7 ชาติ และหากเกิดบรรลุเป็นพระอรหันต์ อนิตยโพธิสัตว์นั้น ก็จะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป (หาใช่เพราะเจตจำนงค์ไม่ตั้งมั่นมิได้ แต่เป็นเพราะ เข้าไปสู่ระบบของการดับของจิต(นิพพาน)) ใช่หรือป่าวครับ

    ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ และไม่ได้ทำอนันตอริยกรรมมาก่อน อย่าว่าแต่พระอนาคามีเลย พระอรหันต์ฆราวาสก็บรรลุได้ (แต่ยากมากๆ) ส่วนถ้าใครปรารถนาพุทธภูมิ พอปฏิบัติธรรมถึงขั้น “สังขารุเบกขาญาณ” (เป็นกลางต่อสังขาร) จิตจะไม่ก้าวหน้าสู่ญาณขั้นสูงต่อไป เลยไม่บรรลุธรรม (แต่สามารถเจริญสติ และปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ เพื่อสะสมบารมีได้) นอกจากจะตั้งจิตอฐิษฐานขอลาพุทธภูมิเสียก่อน จึงสามารถไปต่อจนบรรลุธรรมได้ แต่ถ้าเคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งใดอดีตมาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะลาพุทธภูมิได้

     
  23. tanin

    November 10, 2012 at 22:05

    พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ ผู้ตรัสรู้แล้วไม่ได้สอนใคร (น่าจะไม่บอกใครด้วย) …
    ดังนั้น…ใครจะรู้ว่า ใครเป็นปัจเจกพุทธเจ้า
    และไม่น่าจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ใครสักคน…รู้จักเลย

    ถ้าตรรกะนี้ถูกต้อง…
    จึงไม่มีตัวตนของพระป้จเจกพุทธเจ้าทั้งสิ้น …มีแด่ชื่อเรียกนี้เท่านั้น
    (ชาวพุทธแท้ควรสังวรในเรื่องนี้ให้มาก)

    ส่วนพระพุทธเจ้า สิทธัตถะ สมณะโคดมนั้น เป็นหนึ่งเดียวในโลกไม่มีข้อสงสัย
    แต่การบอกว่าพระองค์เวียนว่ายตายเกิดมามากมายนั้น
    ขัดแย้งกับพุทธวัจนะที่กล่าวว่า ..
    ผู้เชื่อว่าตายแล้วไปเกิดใหม่นั้น ..เป็นมิจฉาทิษฐิ (ความคิดผิด)
    ผู้ที่เชื่อว่า ตายแล้วดับสูญ ก็เป็นมิจฉาทิษฐิด้วย
    นี่คือ…หลักธรรมที่แท้ของตถาคต
    การมีดวงวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดที่เรียกว่า…วัฏสงสารนั้นเป็นของฮินดูนะครับ
    วิญญาณของพุทธนั้นเรียกตามประสาทสัมผัสทั้ง 5 และจิตคิด
    เกิด ตั้งอยู่ และดับไปตลอดเวลา ไม่มีตัวตน
    ที่เรียกว่าอนัตตา
    เมื่อไม่มีตัวตน ตายแล้วไม่มีอะไรดับ
    และไม่มีอะไรไปเกิดใหม่ครับ

     
  24. Anonymous

    February 26, 2014 at 00:12

    อนุโมทนาในธรรมทานของเจ้าของบล็อกด้วยนะครับ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ 🙂

     
  25. Anonymous

    February 24, 2015 at 07:33

    อนุโมทนา. สาธุ

     
  26. June

    September 16, 2015 at 20:14

    ขอรบกวนถามน่อยครับ แล้วถ้าคนผู้นั้นได้ถูกพระพุทธเจ้าทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเขาจะมีบุคลิกแตกต่างจากคนทั่วไปอย่าไรครับ

     
  27. ปทุมมะ

    October 8, 2015 at 02:33

    ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีอีกมากมายนักให้บารมีเต็มเปลี่ยมทั้งสามสิบทัศและทุกๆชาติจะรำรึกในใจตนเองเสมอว่าตนอยากเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อนำพามนุษย์ทั้งหลายก้าวข้ามสังสารวัฏ…อย่าลืมว่าเราทั้งหลายมีอายุไม่เกินร้อยปีอย่างมาก บุญแลบารมีหากสร้างไว้ถึงไม่ได้ไปพระนิพานแต่ยังไปสวรรค์อยู่อีกหลายร้อยหรือหลายพันปี การเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนายากนักจงเร่งสร้างความดีหนีกรรมเถิด ….

     
  28. Anonymous

    February 13, 2018 at 14:42

    ขออนุญาตินะครับทุกท่าน ผมเคยได้ยินมาว่า ถ้าเราถือศีลครบ แล้วนั้งสมาธิอย่างเดียว จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเร็วที่สุดน่ะครับผม ผมเห็นคนผิดศีลแล้วตกนรก ถ้าข้อร้ายแรงสุดก็ขุมสุดท้าย อ่า.! แล้วถ้าเราทำถูกศีลล่ะครับทุกท่าน จะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าหรอครับทุกท่าน ผมคิดว่าพระพุทธเจ้าของเรามีบุญกุศลสูงสุดแล้วล่ะครับ…..เอ้.! ทุกท่านครับ เหมือนกฎหมายกับศีลเป็นสิ่งเดียวกันเลย เหมือนจะเป็นข้อห้ามเหมือนกัน คุกกับนรกก็ดูจะทรมานคล้ายๆกัน อ้าว.! ทุกท่านครับ แล้วถ้าอย่างนั้นการดำรงค์ชีวิตของเรา กับการดำรงค์ชีวิตของพระ จะไม่เหมือนกันหรอครับทุกท่าน ก็ครับ พระมีนรกสวรรค์ เรามีคุกมีใช้ชีวิตปกติ, พระมีถือศีล เรามีอาชีพ, พระมีนั่งสมาธิ เรามีการตั้งใจทำงาน, พระมีการใช้ปัญญาเพื่อหาทางบรรลุพระพุทธเจ้า เราก็ใช้ปัญญาสอบแข่งขันไปตำแหน่งสูงสุด เหมือนจะใช่หรือเปล่าครับทุกท่าน ถ้าเป็นอย่างนั้นคงดีน๊อ จะได้นำหลักของพระพุทธศาสนา มาพัฒนาโลกของเรา ขอบคุณครับทุกท่าน เอ่อนิดนึงนะครับ ท่านใดมีความรู้ดีๆ ส่งแบ่งปันให้ผมด้วยนะครับ ขอบพระคุณครับ ทาง saksit_mtv@hotmail.com หรือ line พระเสกสิทธิ์ คนธสาโร

     

Leave a comment